visa blog : สำหรับคนไทยค่ะ
  • Home
  • Blog

ยื่นอุทธรณ์ AAT ไม่ทันเวลา

28/11/2018

 
UPDATE: 14 December 2018

จากที่คนเขียนโพสไปเมื่อวันที่ 28 November ว่า "ยื่นอุทธรณ์ AAT ไม่ทันเวลา อาจจะยังมีหวัง" (อ่านเนื้อหาเดิมได้ด้านล่าง)

.... ปรากฏว่าเป็นความหวังที่สั้นมากค่ะ .... เพราะ the Federal Court (Full Court) ได้มีคำตัดสินกลับไปเป็นแนวทางแบบเดิมๆที่เคยเป็นมา คือ.... ยื่นอุทธรณ์ไม่ทันเวลา = No jurisdiction = AAT ไม่สามารถพิจารณาเคสได้

เราคงต้องมาดูกันต่อว่าจะมีการยื่นอุทธรณ์ไปถึง the High Court หรือไม่ และผลจะเป็นยังไง

ที่มา: Beni v Minister for Immigration and Border Protection [2018] FCAFC 228 (14 December 2018)


Original post: 28 November 2018

โพสนี้มาแบบสั้นๆ แต่สำคัญมากสำหรับอนาคตของใครหลายๆคน

ที่ผ่านๆมา หากมีการยื่นอุทธรณ์ที่ไป AAT เลยระยะเวลาที่กฏหมายกำหนดไว้ AAT จะถือว่าหน่วยงานไม่มีอำนาจในการพิจารณาเคส (No jurisdiction)

เมื่อวันที่ 19 November 2018 the Federal Court (single judge) ได้มีคำตัดสินว่า AAT สามารถพิจารณาใบสมัครอุทธรณ์ที่ยื่นไม่ทันเวลา (Out of time) ได้  ซึ่งคาดว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้ใครหลายๆคนที่ยื่นอุทธรณ์ไม่ทันเวลา ไม่ว่าจะสำหรับคนที่พลาดไปแล้ว (แต่เจ้าตัวยังอยู่ในประเทศออสเตรเลีย) หรือคนที่อาจจะพลาดยื่นไม่ทันเวลาในอนาคต

แต่คำตัดสินนี้ ไม่ได้แปลว่าทุกคนเรื่อยๆเฉื่อยๆได้นะคะ ระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์ก็เป็นอะไรที่เราต้องใส่ใจและพยายามยื่นให้ทันเวลา เพราะคำตัดสินนี้ ไม่ได้แปลว่า AAT จะต้องรับพิจารณาทุกเคสที่ยื่นไม่ทันเวลา (ไม่อย่างงั้นก็คงไม่ต้องมีระยะเวลาเลย) แต่แปลว่า AAT มีสิทธิ์พิจารณาเป็นเคสๆไปว่าเคสมีที่มาที่ไปยังไง มีเหตุผลน่าเห็นใจตรงไหน ถึงได้ยื่นไม่ทันเวลา และถ้าเห็นดีเห็นงาม ก็สามารถที่จะรับเรื่องไว้ได้ (ในอดีตคือไม่ต้องคิด ไม่ต้องพิจารณา เพราะถือว่า No jurisdiction ยังไงก็ไม่รับเรื่อง)

สำหรับใครที่งงๆว่าคำตัดสินของเคสนึง มาเกี่ยวอะไรกับเคสอื่นๆด้วย .... กฏหมายของออสเตรเลีย นอกจากยึดถือตัวบทกฏหมายแล้ว ยังถือว่าคำตัดสินของศาลเป็นบรรทัดฐาน เป็นแนวทางเอามาปรับใช้กับเคสอื่นที่มีลักษณะคล้ายๆกันด้วยค่ะ

ป.ล. ณ วันนี้ เคสนี้ถือเป็นบรรทัดฐาน แนวทางใหม่สำหรับ AAT .... แต่อนาคตไม่แน่นอนค่ะ ถ้าอิมมิเกรชั่นอุทธรณ์คำตัดสินนี้ และศาลที่สูงกว่าตัดสินเป็นอื่น บรรทัดฐาน แนวทางก็เปลี่ยนอีก หรืออิมมิเกรชั่นอาจจะมีการแก้กฏหมาย เพื่อให้ AAT ไม่สามารถพิจารณาเคสยื่นไม่ทันเวลาได้ (อะไรก็เกิดขึ้นได้)

กฏหมายอิมมิเกรชั่นเปลี่ยนกันอยู่เรื่อยๆค่ะ ตราบใดที่ยังไม่ได้ PR หรือเป็น Australian citizen ก็คงต้องติดตามและอัพเดทกฏหมายกันนะคะ

ที่มา: Brown v Minister for Home Affairs (No.2) [2018] FCA 1787 (19 November 2018)

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

AAT review application - Subclass 186 NOmination

15/11/2018

 
เคสที่คนเขียนจะแชร์วันนี้เป็นเคสมหาหิน และเป็นเคสที่ใช้ชั่วโมงการทำงานเยอะมากถึงมากที่สุด

ข้อคิดในเคสนี้อยู่ในเนื้อหา (ไม่มี ป.ล. 1, 2, 3, 4) หวังว่าน้องๆจะได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดในเคสนี้ และเอาไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์กับเคสตัวเองนะคะ 

โพสนี้แอดวานซ์นิดนึงนะคะ สำหรับคนที่พอมีความเข้าใจเงื่อนไขของวีซ่า 186 หรือ 187 มาบ้างแล้ว สำหรับมือใหม่ รบกวนตามอ่านลิงค์ที่ให้ไว้ตัวแดงๆในโพสนี้ก่อน จะได้พอเข้าใจว่าคนเขียนพูดถึงอะไร และสำคัญยังไง

คุณลูกความติดต่อมาขอคำแนะนำหลังจากอิมมิเกรชั่นปฏิเสธ Nomination สำหรับวีซ่า Subclass 186 แบบ Temporary Residence Transition Stream (TRT) ..... เหตุผลที่ปฏิเสธก็มี 2 ข้อด้วยกัน คือ

  • นายจ้างมีประวัติไม่ทำตามเงื่อนไขการเป็นสปอนเซอร์หลายข้อ เคยถูกปรับ เคยติดบาร์ห้ามสปอนเซอร์พนักงานเพิ่ม
  • เนื่องจากอิมมิเกรชั่นเจอว่าลูกจ้างทำหน้าที่อื่นนอกเหนือจากหน้าที่ของตำแหน่งที่ได้รับการสปอนเซอร์มา อิมมิเกรชั่นเลยตัดสินว่าลูกจ้างไม่ได้ทำงานในตำแหน่งที่จ้างครบ 2 ปี ในระหว่างที่ถือวีซ่า 457
(จริงๆแล้วเหตุผลการปฏิเสธคือข้อล่างเท่านั้น แต่ข้อบนเป็นที่มาที่ไปสำคัญของการถูกปฏิเสธ เพราะฉะนั้นจากคำตัดสิน เคสนี้มี 2 ประเด็น)

เท้าความข้อกฏหมายนิดนึง....... เคสนี้เข้ากฏเก่า (Transitional arrangements) ...... คือต้องทำงานในระหว่างถือวีซ่า 457 อย่างน้อย 2 ปี ถึงจะขอพีอาร์ได้ (กฏปัจจุบันคือต้องทำงานในวีซ่า 457 / TSS-482 อย่างน้อย 3 ปี ถึงจะขอพีอาร์ได้)

จากข้อมูลที่ลูกความให้มา คนเขียนคิดว่าเราน่าจะหาข้อโต้แย้งเหตุผลทั้ง 2 ข้อนี้ได้ (หมายถึงโต้แย้งกันทางข้อกฏหมายนะคะ ไม่ใช่โต้แย้งแบบตามใจฉัน)

เคสนี้จริงๆยื่นใหม่ได้ เพราะลูกความยังถือวีซ่า 457 อยู่อีกระยะใหญ่ แต่แนวโน้มที่จะถูกปฏิเสธอีกรอบก็มีสูง  และลูกความก็ยังไม่มีผลภาษาอังกฤษสำหรับกฏปัจจุบัน (เทียบเป็น IELTS ก็ 6 ทุกพาร์ท) ..... สรุปว่าเคสนี้การยื่นอุทธรณ์ดูแล้วจะเข้าท่าที่สุด (จริงๆยื่นอุทธรณ์ด้วย และเมื่อได้ผลภาษาอังกฤษก็ยื่นใหม่ด้วยก็ได้ แต่ลูกความไม่สน ไม่สอบ วัดใจกันไปเลยค่ะ ลุยทางเดียว บอกว่าถ้าไม่ชนะที่ชั้นอุทธรณ์ก็จะแพ๊คกระเป๋ากลับบ้าน .... คนเขียนแอบเครียดเลย กลัวครอบครัวนี้ต้องแพ๊คกระเป๋าจริงๆ)

ว่าแล้วลูกความก็เซ็นสัญญาให้คนเขียนดูแลเคสอุทธรณ์ .... และแล้วเซอร์ไพร์สก็มา ....... งานงอกแบบจริงๆจังๆ ไม่เคยมีเคสไหนงานงอกขนาดนี้

เบื้องลึกของเคส ..... ข้อมูลที่ไม่ได้ระบุในคำตัดสิน แต่เจอระหว่างทางคือ

  • ลูกความใช้วันลา (annual leave เพื่อกลับไทย) เกินไปเยอะมาก รวมระยะเวลาทำงานอยู่ในประเทศออสเตรเลียทั้งหมด (นับแล้วนับอีก นับไป 5-6 รอบ - wishful thinking) นับยังไงก็ได้ไม่ถึง 2 ปี ณ วันยื่น Nomination (ถามว่าทำไม๊ ทำไม ทำไปได้ไง รออีกนิดให้มันครบ 2 ปี++++ แล้วค่อยยื่นไม่ได้เหรอ วีซ่าเหลืออีกตั้งนาน จะรีบไปไหน - ไม่แอบเครียดแล้ว เครียดอย่างแรง)
  • รายละเอียด Leave period ที่ให้ไปที่ชั้นอิมมิเกรชั่นก็ไม่ถูกต้อง อิมมิเกรชั่นเช็คได้จาก Movement record (เครียดหนักเข้าไปอีก) - ลูกความบอกว่า honest mistake แต่ Tribunal อาจจะมองว่าโกหกก็ได้ เพราะ Leave period ที่ไม่ถูกต้องนับเวลาได้ครบ 2 ปี แต่พอเช็คจาก Movement record แล้ว กลับนับเวลาได้ไม่ถึง 2 ปี - เครียดไหมล่ะ เริ่มเห็น Credibility issue (ปัญหาความน่าเชื่อถือ) ที่ปลายขอบฟ้า
  • เอเจนต์เดิมเอาค่าเทรนนิ่ง (Training expenditure) ที่เกิดขึ้นก่อนที่นายจ้างจะได้เป็นสปอนเซอร์มานัวๆเป็นค่าเทรนนิ่งในระหว่างที่มีลูกจ้างถือ 457 (คือมันใช้ไม่ได้นะคะ)  -         ลูกความบอกว่าไม่รู้ ก็จ่ายตามที่เอเจนต์แนะนำให้จ่าย และอิมมิเกรชั่นก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องเทรนนิ่ง ก็แปลว่าไม่มีปัญหาสิ - คือจริงๆแล้ว
    • อิมมิเกรชั่นไม่จำเป็นต้องลิสทุกเหตุผลที่สามารถปฏิเสธได้ ลิสเหตุผลเดียวก็ปฏิเสธได้แล้วค่ะ
    • และถึงแม้อิมมิเกรชั่นจะนัวๆโอเคกับบางเรื่อง    Tribunal ไม่จำเป็นต้องนัวๆโอเคด้วยนะคะ เพราะการพิจารณา Nomination refusal outcome เป็นการพิจารณาใหม่หมดในทุกเงื่อนไขของ Nomination และต้องบอกว่า Tribunal แม่นข้อกฏหมายกว่าอิมมิเกรชั่นเยอะมาก ... ข้อดีคือเราคุยภาษาเดียวกัน (ภาษากฏหมาย) ข้อเสียคือถ้าหาข้อกฏหมายมาสนับสนุนข้อเท็จจริง (ที่ไม่ค่อยจะสวยหรู) ไม่ได้ เคสก็ Hopeless
  • สัญญาระบุให้จ่ายค่าจ้างทุกอาทิตย์ แต่จ่ายกันรายเดือนมั่ง รายสองอาทิตย์มั่ง ทุกวันที่ 15 มั่ง สรุปว่าผิดตั้งแต่ไม่ทำตามที่สัญญาระบุไว้ แถมยังนำเสนอว่ามีการจ่ายเงินครบถ้วนได้ยากมาก .... ทำยังไงดีล่ะ ...... ไม่นำเสนอ-เคสก็อาจจะไปไม่รอด นำเสนอ-เคสก็อาจจะดูไม่ดี (สรุปว่าต้องเลือกเอาระหว่างสถานการณ์ที่แย่กับแย่กว่า)

และบลา...บลา...บลา.... คือมีปัญหาอื่นอีกมากมาย เงื่อนไขการพิจารณา Nomination มีกี่ข้อ มีปัญหาเกือบทุกข้อ .....คนเขียนก็คิดไม่ถึงว่าสาระพันปัญหามันจะมารวมกันอยู่ในเคสๆเดียวนี้แหละ (ลูกความสามารถมาก) ปรากฏว่าอธิบายยังไงลูกความก็ไม่เข้าใจว่าเคสตัวเองอาการหนักมาก  Positive thinking สุดๆ (ซึ่งก็เข้าใจได้ คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าเมื่อตัวเองคิดดีทำดี ก็ต้องได้ดี ทำผิดพลาดแบบไม่ตั้งใจก็พยายามแก้ไข ก็ต้องให้อภัยกันสิ ... ในความเป็นจริงกฏหมายอิมมิเกรชั่นโหดร้ายกว่านั้นนะคะ ........  บางครั้ง Tribunal ก็มองอีกมุม เช่นกฏหมายเป็นอะไรที่คุณต้องรู้ จะมาบอกไม่รู้ไม่ได้ ไม่อย่างงั้นทุกคนก็อ้างแบบนี้ ก็ได้วีซ่ากันหมดสิ ..... หรือมองว่าคุณพยายามโกหก สร้างเรื่องเพื่อให้ได้วีซ่ารึเปล่า .... บางครั้ง Tribunal ก็เห็นใจ แต่กฏหมายอาจจะไม่เปิดช่องให้ใช้ความเห็นใจมาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณา)

สรุปว่าหายใจเข้าลึกๆหายใจออกยาวๆ ทำ Research หาข้อกฏหมายมาแก้ปัญหาไปทีละเปลาะ ส่วนที่ไม่มีข้อกฏหมายมาช่วย คนเขียนก็ไปนำเสนอมุมมองใหม่ๆเอาที่ Tribunal ละกัน 

เคสนี้ก็ลูกความในฝันอีกแล้วค่ะ เคสยากมากจริงๆ แต่แนะนำอะไร ลูกความทำทุกอย่าง .... ทำให้คนเขียนแก้ไขปัญหาหลายๆจุดให้คุณลูกความได้ทางเอกสาร และเหลือประเด็นหลักๆ (ซีเรียสๆ) ไว้ลุยกันวัน Hearing เพราะเอกสารอย่างเดียวเอาไม่อยู่

ปรากฏว่าวัน Hearing คนเขียนแอบกุมขมับ เพราะรู้สึกว่า Tribunal member ออกแนวติดลบกับเคสพอสมควร (ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะประเด็นที่ซีเรียสและไม่น่าจะให้ผ่านมีหลายประเด็น ประกอบกับลูกความและพยานก็ตื่นเต้นตอบคำถามได้ไม่ดีและไม่ละเอียดพอ) คนเขียนก็มีการโต้เถียงทางข้อกฏหมายกับ Tribunal member ในวันนัด แต่เนื่องจากมีหลายประเด็น เวลาก็หมดซะก่อน แต่ Tribunal member ก็ยังอนุญาติให้คนเขียนทำ Written Submissions โต้เถียงเคสเพิ่มเติมได้ (โอกาสสุดท้ายของเรา) .... สรุปว่าผ่านค่ะ .... ลูกความไม่ต้องแพ๊คกระเป๋ากลับบ้านแล้ว ... เย้ ... หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง  (เคสนี้ลูกความอยู่คนละรัฐกับคนเขียน ตั้งแต่ต้นจนจบเรายังไม่เคยเจอกันตัวเป็นๆ ..... อ้าว แล้ว Hearing กันยังไง??? - Video conference คือคำตอบ) 

คนเขียนจะไม่ลงรายละเอียดว่าโต้เถียงอะไรไปบ้าง แค่ Submissions โต้เถียงทางข้อกฏหมายอย่างเดียวก็ 10 หน้าแล้ว เอกสารประกอบรวมๆในเคสนี้ก็น่าจะราวๆ 400-600 หน้า และแนวทางการโต้เถียงและการแก้ปัญหาของแต่ละเคสก็ไม่เหมือนกัน   แค่ยื่นต่างช่วงเวลากันก็อาจจะใช้กฏหมายกันคนละตัวแล้ว   ถึงแม้นายจ้างจะเคยมีประวัติถูกปรับหรือติดบาร์เหมือนกัน เหตุผลที่มาที่ไปของการถูกปรับหรือติดบาร์ก็ต่างกัน  ถึงแม้ลูกจ้างจะเคยถูกกล่าวหาว่าทำหน้าที่อื่นนอกเหนือจากหน้าที่ของตำแหน่งที่ได้รับสปอนเซอร์เหมือนกัน แต่ลักษณะงาน ธุรกิจ หรือเอกสารประกอบต่างกัน แนวทางการทำเคสก็ต่างกัน (สรุปว่าเคสใครเคสมันค่ะ เคสอุทธรณ์ไม่มีแพทเทิร์น) ....      แต่สิ่งที่ลูกความเคสอุทธรณ์ทุกคนควรมีคือ Being proactive ใส่ใจและเต็มที่กับเคสตัวเองค่ะ อย่าคาดหวังว่าเมื่อมีเอเจนต์หรือทนายความดูแลแล้ว เราจะไม่ต้องทำอะไรเลย ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ค่ะ เราทำงานกันเป็นทีม ทีมข้อกฏหมาย + ทีมข้อเท็จจริง (คุณลูกความนั่นเอง)  ลูกความยกความดีความชอบให้คนเขียนเต็มๆ แต่คนเขียนคืนกลับไปครึ่งนึง ถ้าลูกความไม่ใส่ใจเคสตัวเอง เคสก็ออกมาดีไม่ได้ เราไม่มีเวทมนต์ hard work + team work ล้วนๆค่ะ

หวังว่าข้อมูลในโพสนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องๆที่หมายตาวีซ่า Subclass 186 หรือ 187 นะคะ

ขอบคุณที่อ่าน ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ ก็แชร์ได้เลยค่ะ ไม่ต้องขออนุญาตกัน

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

แชร์ประสบการณ์ Partner visa - Schedule 3 waiver Request

13/10/2017

 
คนเขียนเพิ่งแจ้งข่าวดีให้กับลูกความคู่นึงไป ข่าวดีของคนที่ยื่นวีซ่าก็คงไม่มีอะไรนอกจากวีซ่าออกแล้ว

เคสนี้เป็นเคสที่เราดูแลกันมายาวนานพอสมควร ลูกความติดต่อคนเขียนมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว ลูกความไม่ถือวีซ่ามาระยะใหญ่ แต่มีแฟนออสซี่ แต่เนื่องจากกฏเกณฑ์นโยบายการขอวีซ่าคู่ครองของคนที่ไม่มีวีซ่า ก็เปลี่ยนมาระยะนึงแล้ว ซึ่งทำให้โอกาสการได้วีซ่าในเคสแบบนี้ยากขึ้นมาก

ทางเลือกของคนไม่ถือวีซ่าที่ต้องการยื่นวีซ่าคู่ครอง (ก็ได้เคยโพสไปแล้วว่า) มีอยู่สองทาง คือการกลับออกไปยื่นวีซ่าแบบนอกประเทศออสเตรเลีย หรือเสี่ยงยื่นวีซ่าแบบในประเทศออสเตรเลียถ้าคิดว่าเคสของเรามีเหตุผลที่น่าเห็นใจจริงๆ (Schedule 3 waiver request) คนเขียนใช้คำว่า"เสี่ยง" เพราะต่อให้เราคิดว่าเรามีเหตุผลน่าเห็นใจแค่ไหน เหตุผลอาจจะไม่มากพอในมุมมองของอิมมิเกรชั่น ซึ่งก็อาจจะทำให้เราถูกปฏิเสธวีซ่าได้ เมื่อถูกปฏิเสธวีซ่าในกรณีแบบนี้ ก็มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งอุทธรณ์ก็มีความเสี่ยง อาจจะชนะหรือแพ้ ไม่มีใครตอบได้

จากประสบการณ์ในการทำงานด้านนี้ คนเขียนคิดว่าเคสนี้เป็นเคสที่น่าเห็นใจจริงๆ แต่เนื่องจากว่าคนเขียนก็ไม่ใช่คนตัดสินเคส ลูกความก็ต้องเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะเลือกทางไหนที่ตัวเองพอรับได้ ระหว่าง

1. กลับไปยื่นที่ไทย ซึ่งการพิจารณาน่าจะเร็วกว่าและมีโอกาสได้วีซ่าสูงกว่า (ถ้าความสัมพันธ์หนักแน่นมั่นคงและมีหลักฐานสนับสนุนที่ดี) แต่ก็คงจะต้องรออยู่ที่ไทยจนกว่าจะได้วีซ่า เพราะการขอวีซ่าท่องเที่ยวมาในระหว่างรอคงไม่ผ่านเนื่องจากเคยอยู่เป็นผีที่ออสเตรเลียมาระยะใหญ่ และถ้าวีซ่าคู่ครองไม่ผ่านจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ก็คงต้องรออยู่ที่ไทยจนกว่าอุทธรณ์จะผ่าน หรือได้วีซ่าประเภทอื่น

หรือ

2. เสี่ยงยื่นที่นี่ ซึ่งโอกาสที่จะถูกปฏิเสธที่ชั้นอิมมิเกรชั่นก็สูงพอสมควร แต่โอกาสที่จะชนะที่ชั้นอุทธรณ์ก็พอมี ถ้าถูกปฏิเสธ ก็มีโอกาสตัดสินใจว่าจะกลับไปวีซ่ายื่นใหม่ที่ไทยดี หรือจะเสี่ยงลุยต่อไปชั้นอุทธรณ์ดี ถ้าไม่ผ่านที่ชั้นอุทธรณ์ ก็คงจะได้กลับไปยื่นใหม่ที่ไทยจริงๆ ยกเว้นว่าจะมีเหตุให้อุทธรณ์ต่อในชั้นอื่นได้ (ซึ่งในบางเคสก็มีความเป็นไปได้)

คนเขียนง่ายๆ ถ้าลูกความลุย คนเขียนก็ลุยค่ะ แต่ก่อนลุย ลูกความต้องเข้าใจพื้นฐานเคสของตัวเองจริงๆก่อน ...
ทำงานกับคนเขียนไม่มีการเพ้นท์ภาพสวยหรู ไม่มีโลกสวย เราเอาเรื่องจริงมาคุยกัน คนเขียนไม่เห็นประโยชน์ที่จะบอกลูกความว่าเคสง่ายๆเดี๋ยวก็ได้วีซ่า ถ้าในความเป็นจริงมันไม่ใช่

สรุปว่าลูกความเลือกเสี่ยงยื่นที่นี่ คนเค้ารักกันอยากอยู่ดูแลกัน (และที่สำคัญมีเหตุผลน่าเห็นใจ) คนเขียนก็ลุย ลูกความก็ลุยค่ะ และเราก็ถูกปฏิเสธ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดคาด แต่ผิดหวัง คนเขียนก็ถามว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือจะกลับไปยื่นที่ไทย ในใจก็นึกว่าในเมื่อลุยมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ควรจะลุยต่อ ไม่อย่างงั้นก็ควรยื่นที่ไทยตั้งแต่แรก นึกแต่ไม่ได้พูดเพราะนี่คือชีวิตของลูกความ และทั้งสองทางต่างก็มีข้อดี/ข้อเสียของมันเอง ก็ต้องให้ลูกความเลือกและตัดสินใจเอาเอง คนเขียนไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินใจแทน แต่มีหน้าที่ให้คำแนะนำประกอบการตัดสินใจ

ลูกความตัดสินใจยื่นอุทธรณ์ คนเขียนชื่นใจมาก ไม่ได้ชื่นใจเพราะลูกความตัดสินใจยื่นอุทธรณ์ แต่เพราะขออะไรไปก็จะพยายามหาให้อย่างรวดเร็ว แบบไม่ต้องตามไม่ต้องถามซ้ำ (proactive แบบสุดๆ) และเราก็ชนะที่ชั้นอุทธรณ์ เคสถูกส่งกลับไปให้อิมมิเกรชั่นพิจารณาต่อ และในที่สุดคุณลูกความก็ได้วีซ่าสมใจ ซึ่งในเคสนี้ลูกความได้วีซ่าคู่ครองแบบถาวรเลยด้วยค่ะ  .... คนเขียนชื่นใจและดีใจเหมือนได้วีซ่าซะเอง  ... นับรวมเวลาตั้งแต่เข้ามาขอคำปรึกษาเบื้องต้นจนถึงวันนี้ 4 ปี กับอีก 2 เดือน

หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าแล้วจะบอกไหมว่าเหตุผลที่น่าเห็นใจมันคืออะไร ... ไม่บอก ... ความลับของลูกความบอกไม่ได้ ... และบอกไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะแต่ละเคสก็มีลักษณะเฉพาะตัว ก็ต้องพิจารณากันเป็นเคสๆไป  สำหรับบางคนที่เหมารวมว่าคนไม่มีวีซ่า/ผีจะไม่มีทางขอวีซ่าคู่ครองแบบในประเทศได้และต้องกลับไปยื่นแบบนอกประเทศเท่านั้น ก็ต้องบอกว่าไม่จริงเสมอไป

คนเขียนเคยโพสไว้นานแล้วว่าเคสบางเคสทนายหรือเอเจนต์ต้องทำงานกับเรานานเป็นปีๆ เลือกคนที่คลิ๊กกับเรานะคะ จะได้ทำงานด้วยกันอย่างสบายใจ

นอกเรื่อง .... มีน้องๆถามเกี่ยวกับ Bridging visa มาค่อนข้างเยอะ คนเขียนร่างไว้แล้วแต่ยังไม่เสร็จ รออีกแป๊บ...
ที่ถามๆกันมาก็จะพยายามตอบให้นะคะ (ถ้าตอบได้) อาจจะตอบเป็นการส่วนตัว หรือทาง Blog ในหัวข้อ ถาม-ตอบ จิปาถะ (ไม่มีความจำเป็นต้องเช็ค Blog ทุกวันนะคะ ถ้าตอบทาง Blog จะแจ้งให้ทราบว่าตอบให้แล้วใน Blog)
คำถามที่คนเขียนไม่ได้ตอบ คือคำถามที่ต้องดูเอกสารประกอบหรือต้องซักถามกันเพิ่มเติมหรือต้องอธิบายกันแบบยาวๆ ในกรณีแบบนี้รบกวนนัดปรึกษารับคำแนะนำกันแบบเป็นเรื่องเป็นราวนะคะ

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

จดทะเบียนความสัมพันธ์ (Relationship Registration) South Australia

27/8/2017

 
เมื่อเดือนที่แล้วคนเขียนไปเจอมาว่าร่างกฏหมายการจดทะเบียนความสัมพันธ์ของรัฐ South Australia ผ่านสภามาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2016 แล้ว คนเขียนเชื่อว่าน่าจะมีผลบังคับใช้เร็วๆนี้ .... คือจริงๆน่าจะบังคับใช้มาตั้งนานแล้ว ก็ไม่ทราบว่ารัฐบาลรออะไร ....

คนเขียนเลยบอกน้องๆลูกความที่อยู่ในความสัมพันธ์ฉันท์ De facto แต่ยังไม่ครบ 12 เดือน (หรือเกิน 12 เดือนแล้ว แต่หลักฐานไม่แน่น) ให้คอยติดตามกับทางหน่วยงานรัฐบาลว่าเมื่อไหร่กฏหมายตัวนี้จะบังคับใช้ 

และตอนนี้ (เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2017) ที่ South Australia ก็สามารถจดทะเบียนความสัมพันธ์ได้แล้วนะคะ ลูกความของคนเขียนคาดว่าจะเป็นคู่แรกๆที่ได้ใช้กฏหมายนี้

ป.ล.1      รัฐอื่นที่ยังไม่มีกฏหมายรองรับการจดทะเบียนความสัมพันธ์ ก็อาจจะมีได้ซักวันนึงนะคะ
               เพราะฉะนั้นอย่าด่วนสรุป ไม่อย่างงั้นเราอาจจะพลาดโอกาสดีๆได้

ป.ล.2      เงื่อนไขการจดทะเบียนความสัมพันธ์ของแต่ละรัฐไม่เหมือนกันนะคะ 
               บางรัฐที่รับจดทะเบียนความสัมพันธ์อยู่แล้ว ก็อาจจะมีการเปลี่ยนเงื่อนไขได้
               ก่อนจะยื่นใบสมัครก็เช็คเงื่อนไขกันด้วยนะคะ จะได้เตรียมเอกสารให้ครบ ไม่เสียเวลาหรือเสียตังค์ฟรี

ข้อมูลการจดทะเบียนความสัมพันธ์ของ South Australia อยู่ที่ https://www.sa.gov.au/topics/family-and-community/births,-deaths-and-marriages/register-a-relationship

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

สรุปเคสน่าสนใจ..... บุตรบุญธรรม

23/8/2017

 
คนเขียนมีเคสน่าสนใจที่จะมาสรุปให้ฟังค่ะ ไม่ใช่เคสของคนเขียนเองนะคะแต่เป็นเคสที่ตีพิมพ์ไว้ และประชาชนคนทั่วไปก็สามารถเข้าไปอ่านได้  (ถ้าเป็นเคสของตัวเอง คนเขียนจะลงลึกไม่ได้ เพราะมีหน้าที่รักษาความลับของลูกความ)

เคสนี้เป็นวีซ่าบุตรบุญธรรมที่ถูกปฏิเสธในชั้นอิมมิเกรชั่น และก็ไม่ประสบความสำเร็จที่ชั้นอุทธรณ์ Administrative Appeals Tribunal (AAT) ก็เลยมาร้องต่อศาล Federal Circuit Court และก็ไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี

เคสนี้เป็นเคสที่ป้าหรือน้าไม่แน่ใจ (เรียกว่า"ป้า" แล้วกันนะคะ เพื่อความสะดวก) ซึ่งเป็นพลเมืองของออสเตรเลียแล้ว ต้องการที่จะนำหลานอายุ 17 มาอยู่ด้วย (ซึ่งเป็นลูกของพี่หรือลูกของน้องก็ไม่แน่ใจ - คิดซะว่าเป็นลูกของน้องนะคะ เพื่อความสะดวก)  - พ่อแม่แท้ๆจะแก่หรืออ่อนกว่าพ่อแม่บุญธรรมในกรณีนี้ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ และภาษาอังกฤษใช้คำว่า sister คนเขียนก็ไม่ทราบว่าใครแก่กว่าใคร รู้แค่ว่าแม่ที่แท้จริงกับคนที่อยากเป็นแม่บุญธรรมเป็นพี่น้องกัน)

เคสนี้ตามที่อ่าน ป้าไม่ได้มีการทำเรื่องบุตรบุญธรรมที่ประเทศไทย (คือไม่มีหลักฐานว่าทำ) แต่มีการร้องขอต่อศาลที่ประเทศออสเตรเลีย (Family Court of Australia) ให้มีสิทธิ์ในการปกครอง (parenting orders) หลานอายุ 17 คนนี้  ซึ่งพ่อแม่ที่แท้จริงของหลานก็ยังมีชีวิตอยู่และเซ็นยินยอมให้สิทธิ์ในการปกครองลูกตัวเองแก่ป้า เพื่อที่จะได้มาเรียน มาอาศัยอยู่ที่ออสเตรเลีย

ตอนแรกป้าเริ่มด้วยวีซ่า Orphan relative แปลเป็นไทยว่าวีซ่าสำหรับญาติที่เป็นกำพร้า วีซ่าถูกปฏิเสธเพราะพ่อแม่แท้จริงก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ตาย ไม่ได้สูญหาย ไม่ได้พิการ

ป้าเลยยื่นวีซ่าบุตรบุญธรรมแทน ประเด็นสำคัญที่โต้เถียงโดยป้าคือ

1. ป้าอ้างถึงคำสั่งของศาลออสเตรเลียที่ให้อำนาจป้าปกครองหลาน (parenting orders)

  - ศาลบอกว่าให้อำนาจปกครองหลาน ไม่ได้เป็นเอกสารที่แปลว่าหลานได้กลายเป็นบุตรบุญธรรมของป้าแล้ว

2. ป้าบอกว่าไปหา Department of Family and Community Services (FACS) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่พิจารณาอนุมัติการรับบุตรบุญธรรมแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับพิจารณา (เพราะหน่วยงานจะพิจารณาอนุมัติบุตรบุญธรรม ที่ไม่ใช่แบบญาติรับญาติมาเป็นบุตร) ป้าโต้เถียงว่า การที่ FACS ไม่ยอมรับเรื่องพิจารณาการรับบุตรบุญธรรมของป้า ป้าถือเป็นการอนุมัติบุตรบุญธรรมแล้วโดยปริยาย (???? ตรงนี้ คนเขียนงงๆนะคะ ว่าการไม่รับเรื่องไว้พิจารณา จะถือว่าเป็นการอนุมัติได้อย่างไร อาจจะมีรายละเอียดทางเอกสารมากกว่าที่เขียนไว้ในคำตัดสินเคสนี้นะคะ ถึงทำให้ป้าคิดแบบนี้)

  - ศาลบอกว่าการที่ FACS ปฏิเสธที่จะพิจารณาเคสญาติรับญาติมาเป็นบุตรบุญธรรม จะมานัวๆว่ามีการอนุมัติได้ยังไง ต้องมีเอกสารอนุมัติที่ชัดเจนสิ

3. ป้าบอกว่าจริงๆแล้วป้าเป็นแม่บุญธรรมตามธรรมเนียมไทย (Customary/informal adoption) มานานแล้ว เพราะที่ประเทศไทยหลานมักจะอยู่ในความดูแลของปู่ย่าตายาย ในกรณีนี้นอกจากตายายแล้ว ป้าก็ช่วยดูแลและรับภาระทางการเงินส่งหลานเรียน ทำไม AAT (หน่วยรับอุทธรณ์แรก) ไม่ถามถึงจุดนี้ในวันพิจารณา และไม่ยอมพิจารณาในประเด็นนี้

  - ศาลบอกว่า ถ้าคิดว่าประเด็นไหนสำคัญและอยากให้พิจารณา ป้ามีหน้าที่นำเสนอต่อ AAT นะคะ ... AAT ไม่ได้มีหน้าที่ๆจะต้องถามทุกอย่างที่ป้าอยากให้ถาม

  - และถ้าป้าจะบอกว่า ป้าได้นำเสนอต่อ AAT แล้ว ว่าป้าเป็นแม่บุญธรรมตามธรรมเนียมไทยมานานแล้ว แต่ AAT กลับไม่เอามาพิจารณา ศาลบอกว่าไหนล่ะหลักฐานว่าได้นำเสนอต่อ AAT แล้ว ไม่เห็นเอามาแสดงต่อศาล (Federal Circuit Court) เลย ... อ้างลอยๆไม่ได้นะ

  - และหลักฐานที่ศาลมีในเคสนี้ ก็ไม่มีชิ้นไหนเลยที่สื่อว่าได้มีการรับบุตรบุญธรรมกันมาก่อนแล้วจากประเทศไทย มีแต่เอกสารที่สื่อว่าป้าและสามีมาพยายามทำเรื่องรับบุตรบุญธรรมในประเทศออสเตรเลีย
 
           ... เคสอิมมิเกรชั่นเป็นเคสที่ว่ากันตามหลักฐาน และการพิสูจน์หลักฐานนะคะ
                                                 ไม่ว่าจะที่ชั้นอิมมิเกรชั่น ชั้นอุทธรณ์ที่ AAT
                             ชั้นอุทธรณ์ที่ Federal Circuit Court / Federal Court หรือ High court
                                                  หรือชั้นอื่นๆที่บางเคสเปิดโอกาสให้ไปได้

ศาลโน๊ตไว้ด้วยว่า เคสนี้จริงๆแล้วเป็นเคสที่ต้องยื่นแบบนอกประเทศเท่านั้น แต่ตัวหลานอยู่ในประเทศออสเตรเลียตอนยื่น (ซึ่งแค่จุดนี้จุดเดียวก็ไม่รอดแล้ว และ AAT จะไม่พิจารณาจุดอื่นเลยก็ได้)

คนเขียนโน๊ตว่าป้าและสามีไม่ได้แต่งทนายมาช่วยในเคส Federal Circuit Court (อาจจะมีคนช่วยอยู่เบื้องหลัง
รึเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ)

เคสบุตรบุญธรรมในกรณีที่ผู้ขอรับบุตรธรรมเป็นพีอาร์ หรือพลเมืองของออสเตรเลียไปแล้ว มีความซับซ้อนสูง และความเสี่ยงสูง ต้องใช้เวลาพิจารณากันนานเพราะข้อมูลเยอะ และต้องพิจารณากันเป็นเคสๆไปนะคะ

ปกติแล้วคนเขียนจะโพสที่มาของข้อมูล แต่เนื่องจากเคสนี้เป็นเคสคนไทย แหล่งข้อมูลระบุชื่อนามสกุลชัดเจน
ถึงแม้ว่าเคสนี้จะได้ตีพิมพ์ให้คนทั่วไปหาอ่านได้  และคนเขียนก็ไม่ได้มีหน้าที่รักษาความเป็นส่วนตัวให้กับป้าและหลานในเคสนี้  แต่ด้วยวัฒนธรรมไทยและเคารพในความเป็นส่วนตัวของป้าหลานคู่นี้ คนเขียนขอแจ้งแหล่งข้อมูลแค่ว่าเป็นคำตัดสินของ Federal Circuit Court ปี 2017

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

Protection visa

23/8/2017

 
วีซ่าผู้ลี้ภัย (Protection visa) เป็นอีกวีซ่านึงที่น้องๆโทรถามอยู่เรื่อยๆ ส่วนใหญ่ถามว่ารับทำไหม และค่าใช้จ่ายเท่าไหร่  แปลกใจที่ไม่มีใครถามว่าตัวเองเข้าข่ายมีโอกาสที่จะได้วีซ่าตัวนี้หรือไม่

คนเขียนสงสัยว่าน้องๆไปเอาความคิดที่จะขอ Protection visa มาจากไหน น้องที่โทรมาส่วนใหญ่จะฟันธงมาเลยว่าต้องการให้ทำ Protection visa ไม่ถามด้วยว่าตัวเองมีทางเลือกอื่นหรือไม่

วีซ่าตัวนี้มีไว้สำหรับคนที่ไม่สามารถกลับไปประเทศของตัวเองได้ เพราะเหตุผลตามลิงค์นี้ เช่นในบางประเทศไม่ยอมรับคนที่รักชอบเพศเดียวกัน คนที่นับถือศาสนาหรือลัทธิย่อย หรือชนกลุ่มน้อย หรือในบางประเทศก็มีกลุ่มที่มีความคิดเห็นแตกต่างทางการเมือง จนเป็นเหตุให้มีความกลัวว่าจะถูกทำร้ายหรือจะถูกฆ่าตาย โดยที่กฏหมาย
ผู้รักษากฏหมายและรัฐบาลไม่สามารถปกป้องคุ้มครองเค้าได้ หรือไม่สนใจที่จะคุ้มครอง หรือคุ้มครองไปตามพิธีแต่ไม่ให้ความเป็นธรรม นอกจากนี้ยังต้องมาดูว่าการย้ายไปอยู่พื้นที่อื่นจะทำให้ปัญหาความกลัวว่าจะถูกทำร้ายและ
ไม่ได้รับความเป็นธรรมหมดไปหรือไม่ 

คนไทยแทบจะไม่มีเหตุที่เข้าข่ายว่าจะได้ Protection visa เลย (ใช้คำว่าแทบจะ เพราะบางเคสก็มีความเป็นไปได้ และก็เคยมีคนไทยได้ Protection visa มาแล้ว... แต่น้อยมากๆ) เคสที่ดูเหมือนจะเข้าข่าย ก็ยังไม่ทราบเลยว่าจะได้วีซ่ามารึเปล่าขึ้นอยู่กับน้ำหนักพยานหลักฐานและความน่าเชื่อถือ

เคสประมาณยืมเงินแล้วหนีหนี้มาออสเตรเลียเพราะถูกเจ้าหนี้ทวงหรือจะถูกฟ้องศาล ไปก่อคดีอาญามาและกำลังจะถูกจับ อยู่เมืองไทยตกงานเลยอยากมาอยู่ออสเตรเลียเพราะหางานทำง่าย ไม่ใช่สาเหตุที่ออสเตรเลียจะออก Protection visa ให้นะคะ 

เวลาน้องๆโทรมา คนเขียนจะถามว่าเหตุผลที่ต้องการขอ Protection visa คืออะไร กลัวอะไรที่ทำให้กลับประเทศไทยไม่ได้ คำตอบที่ได้คือไม่มีค่ะ เห็นเพื่อนๆขอกัน เห็นได้อยู่ต่อ เห็นได้ทำงาน เห็นทนาย/เอเจนต์บอกว่าเดี๋ยววีซ่าออกก็จะได้พีอาร์เลย เห็นว่าทำง่ายใครๆก็ทำกัน (สงสัยว่า "ใครๆ" ที่ว่านี่ มีใครได้ Protection visa กันบ้าง)

สำหรับน้องๆที่ยังถือวีซ่าอยู่ เช่นวีซ่าท่องเที่ยว วีซ่านักเรียน วีซ่า 457 ขอร้องว่าอย่าตัดอนาคตตัวเองด้วยการยื่น Protection visa ถ้าตัวเองไม่มีเหตุแห่งความกลัวตามลิงค์  ....ถ้าจำเป็นจะต้องยื่นวีซ่าอะไรซักอย่างเพื่ออยู่ต่อ ก็ควรจะยื่นวีซ่าที่ตัวเองอาจจะมีสิทธิ์ได้วีซ่านั้น (ไม่ว่าจะที่ชั้นอิมมิเกรชั่น หรือที่ชั้นอุทธรณ์) จะดีกว่า

ปกติแล้วคนเขียนไม่รับทำ Protection visa นะคะ .... ใช้คำว่าปกติ เพราะก็มีกรณีไม่ปกติที่คนเขียนอาจจะพิจารณารับทำอยู่บ้าง... ซึ่งน้อยมาก (ตั้งแต่ทำงานด้านนี้มา มีไม่ถึง 10 เคส และมีอยู่เคสเดียวในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา) เคสที่รับทำก็จะเป็นเคสที่ไม่มีทางเลือกอื่น (นอกจากการกลับออกไปและอาจจะไม่ได้กลับเข้ามา) และที่ทำก็เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกความได้ไปต่อในการพิจารณาชั้นอื่น ที่อาจจะทำให้ได้วีซ่าไม่ว่าจะวีซ่าชั่วคราวหรือวีซ่าถาวร (ใช้คำว่า "อาจจะ" เพราะผลลัพท์จริงๆ จะได้หรือไม่ได้วีซ่า จะได้วีซ่าชั่วคราวหรือวีซ่าถาวร วีซ่าที่ได้จะมีเงื่อนไขอะไร หรือจะต้องแพ็คกระเป๋ากลับไทยในที่สุด ไม่มีใครตอบได้ ... ซึ่งลูกความก็ต้องยอมรับความเสี่ยงและผลลัพธ์ที่อาจจะไม่ใช่อย่างใจคิดให้ได้ ก่อนที่จะเริ่มงานกัน)

ชักงงรึเปล่า ประโยคนึงบอกว่าการยื่น Protection visa เป็นการตัดอนาคต อีกประโยคบอกว่าเป็นการเปิดโอกาส

สรุปดีกว่า.... เคส Protection visa ของคนไทยส่วนใหญ่เป็นเคสที่จะไม่ประสบความสำเร็จ เป็นการชะลอเวลากลับบ้าน และเมื่อถูกปฏิเสธก็คาดว่าจะติด section 48 บาร์ ซึ่งอาจจะทำให้ไม่สามารถยื่นวีซ่าแบบในประเทศตัวอื่นที่อาจจะมีสิทธิ์ยื่นได้ในอนาคต เคสที่ปั้นเรื่องขึ้นมาก็อาจจะถูกปฏิเสธพร้อมติดบาร์ 3 ปีจาก Public Interest Criterion 4020 ..... ถ้าทราบอยู่แล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นประมาณนี้ แล้วยังอยากจะทำ Protection visa ก็ไม่มีใครห้ามได้ (แต่คนเขียนไม่รับทำ)  ถ้าไม่ทราบเพราะถูกหลอกว่าทำได้ง่ายๆและในที่สุดจะได้พีอาร์ ก็ทราบซะนะคะว่าตัวเองถูกหลอก (เคส Protection visa ของคนไทยที่เข้าข่ายจะได้วีซ่า คนเขียนคิดว่ามีไม่ถึง 1%)
..... มีน้องๆมาบอกว่าเห็นเพื่อนๆ คนรู้จักทำกับนายหน้าบ้าง เอเจนต์บ้าง บางคนทำกับทนายความด้วย เสียเงินเป็นหมื่นเหรียญและเค้าสัญญาว่าจะได้พีอาร์ พอถามว่าแล้วตกลงเพื่อนได้พีอาร์รึเปล่า น้องบอกยังไม่เห็นมีใครได้เลย บางคนแพ็คกระเป๋ากลับบ้านไปแล้ว.... อ้าว... รู้อย่างนี้แล้ว จะมาถามหา อยากทำ Protection visa เพื่ออะไร..... ถ้าจะเสียเงินเป็นหมื่นเหรียญ เอาเงินนี้ไปเสียกับการทำวีซ่าที่ตัวเองมีสิทธิ์ลุ้นดีกว่าไหมคะ

เคสที่คนเขียนอาจจะพิจารณารับทำคือเคสที่ไม่มีทางเลือกอื่นที่เหมาะสมกว่านอกจากการยื่น Protection visa และมีเหตุผลที่น่าเห็นใจที่เข้าข่ายว่าอาจจะมีโอกาสได้วีซ่า ณ จุดใดจุดหนึ่งในกระบวนการทางด้านคนเข้าเมืองซึ่งก็ไม่ได้มีแค่การยื่นวีซ่าและการยื่นอุทธรณ์เท่านั้น (ซึ่งเหตุผลน่าเห็นใจ ก็อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเหตุผลทาง Protection visa เลย แต่ต้องน่าเห็นใจจริงๆ)  และเคสประมาณนี้เราดูแลกันเป็นปีหรือหลายปี เพราะเคสจะไม่ได้จบแค่การยื่น Protection visa นะคะ

ปล. "เข้าข่ายว่าอาจจะมีโอกาสได้วีซ่า" แปลว่ามีความเป็นไปได้ มีความน่าจะเป็น โดยพิจารณาจากเทรนการตัดสิน และนโยบายของรัฐบาลหรือรัฐมนตรีว่าการคนเข้าเมืองในช่วงเวลานั้นๆ ไม่ได้แปลว่าจะได้วีซ่าแน่ๆ นะคะ เพราะไม่ว่าจะรัฐบาล รัฐมนตรี หรือนโยบาย ก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ ... ถึงได้บอกว่าไม่ว่าใครก็รับประกันความสำเร็จของงานไม่ได้...

ไม่ได้บอกว่าคนไทยไม่มีสิทธิ์ได้ Protection visa แค่บอกว่าโอกาสได้ยากมาก
ไม่ได้บอกว่าคนเขียนไม่รับทำ Protection visa อ่านเงื่อนไขก็จะทราบว่าคนเขียนรับทำ (น้อยมาก)

ลิงค์จาก: www.border.gov.au

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

Partner visa กับคนที่วีซ่าขาด

17/8/2017

 

มีน้องๆที่วีซ่าขาดติดต่อเข้ามาอยู่เรื่อยๆนะคะ หนู/ผมมีแฟนเป็นชาวออสเตรเลีย/เป็นพีอาร์ จะยื่นวีซ่าคู่ครองที่นี่ได้ไหม

คำตอบคือถ้าไม่มีเหตุผลน่าเห็นใจจริงๆ ยากค่ะ  แปลว่าถ้ามีเหตุผลที่หนักแน่นจริงและสามารถนำเสนอได้ พิสูจน์ได้  ก็ยังมีโอกาส (แต่ไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ถ้าสามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์ได้ถึงสองปี หรือมีลูกด้วยกัน หรือมีเหตุผลน่าเห็นใจพอสมควรก็โอเคแล้ว

แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ อิมมิเกรชั่นปรับเปลี่ยนนโยบายภายในใหม่ (ตัวบทกฏหมายยังคงเดิม) การพิจารณาก็จะเพ็งเล็งไปที่ทำไมผู้สมัครถึงไม่มีวีซ่า ทำไมเป็นผีมาหลายปี ได้พยายามติดต่ออิมมิเกรชั่นเพื่อแก้ไขสถานะของตัวเองหรือไม่ หรืออยู่เป็นผีไปเพื่อรอเวลายื่นวีซ่า

ในบางเคสถึงแม้จะมีเหตุผลน่าเห็นใจจริงๆ (เช่นมีลูกเล็กด้วยกัน สปอนเซอร์ป่วยไม่สบาย ต้องการคนดูแล) อิมมิเกรชั่นก็ยังไม่สนใจ ปฏิเสธแบบไม่เห็นใจใดๆทั้งสิ้น สนใจอย่างเดียวคือการมีประวัติการอยู่เป็นผีมาก่อนการยื่นวีซ่า

เพราะฉะนั้นใครที่ยังไม่เป็นผี ก็ไม่ต้องพยายามจะเป็นนะคะ (จริงๆแล้ว ไม่ต้องเคสผีหรอกค่ะ เคสถือ Bridging visa ก็ต้องพิสูจน์เหตุผลน่าเห็นใจด้วยเช่นกัน)

เคสผี และเคส ฺBridging visa ถ้าไม่มีเหตุผลที่น่าเห็นใจจริงๆ ก็ต้องแนะนำให้กลับไปยื่นแบบนอกประเทศ แปลว่าจะไปยื่นไปรอที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ในประเทศออสเตรเลีย แต่เพราะว่าระยะเวลาการรอก็ประมาณ 8-12 เดือน หรือนานกว่านั้นในบางเคส ส่วนใหญ่ก็จะกลับไปยื่นไปรอที่ประเทศบ้านเกิดของตัวเองกัน

ประวัติการอยู่เป็นผีมาก่อน เช่นการอยู่เลยกำหนดวีซ่า การเคยถูกปฏิเสธเพราะอิมมิเกรชั่นไม่เชื่อว่าตั้งใจจะเป็นนักเรียนจริง หรือการถูกยกเลิกวีซ่าเพราะทำผิดเงื่อนไขวีซ่า โดยทั่วไปแล้วไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับการยื่นวีซ่าคู่ครองแบบนอกประเทศ ถ้าหลักฐานความสัมพันธ์แน่น โอกาสผ่านก็สูงค่ะ การติดบาร์ 3 ปี จากการอยู่เลยกำหนดวีซ่าหรือการถูกยกเลิกวีซ่า ไม่ได้มีผลกับวีซ่าคู่ครองแบบนอกประเทศนะคะ

เคสที่น่ากังวัลคือเคสที่มีประเด็นอื่นพ่วงมาด้วย เช่น มีปัญหาสุขภาพ มีประวัติคดีอาญา เคยถูกปฏิเสธหรือถูกยกเลิกวีซ่าเพราะเคยให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในใบสมัครเก่า หรือเคยมีการปลอมแปลงเอกสาร  ประเด็นพวกนี้อาจจะมีผลกับการพิจารณา ซึ่งก็ต้องมาดูว่าควรจะเสี่ยงออกไปหรือไม่ เพราะออกไปแล้วอาจจะไม่ได้กลับเข้ามา

คนเขียนมีลูกความทั้งสองประเภทนะคะ ประเภทที่ต้องแนะนำให้ยื่นแบบนอกประเทศ เพราะไม่มีเหตุผลน่าเห็นใจอะไรที่เข้าข่ายให้ได้ลุ้นเลย

กับประเภทที่เข้าข่ายมีเหตุผลน่าเห็นใจที่อิมมิเกรชั่นอาจจะพิจารณาออกวีซ่าคู่ครองแบบในประเทศให้ ซึ่งเทรนปัจจุบันต้องบอกว่ายาก และอาจจะมีหวังที่ชั้นอุทธรณ์ซะมากกว่า  ลูกความกลุ่มนี้ก็ต้องยอมรับว่าค่าใช้จ่ายจะสูงเพราะมีแนวโน้มไปถึงชั้นอุทธรณ์ และก็ต้องยอมรับความไม่แน่นอน เพราะถ้าอุทธรณ์ไม่ผ่าน ก็ต้องเสียตังค์เสียเวลาต่อเพราะอาจจะต้องยื่นแบบนอกประเทศในที่สุด

คนเขียนมีเคสนึงที่เพิ่งชนะที่ชั้นอุทธรณ์เมื่อเร็วๆนี้ เคสนี้ถึงแม้จะมีเหตุผลที่น่าเห็นใจ คนเขียนก็ยังเสนอแนะให้ยื่นแบบนอกประเทศ เพราะห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายและความไม่แน่นอนว่าเคสจะไปจบตรงไหน ค่าใช้จ่ายจะปานปลายไปเท่าไหร่ ในขณะที่ถ้ายื่นแบบนอกประเทศ เคสนี้ไม่ควรจะติดปัญหาอะไรเลย แต่ลูกความก็ยืนยันจะยื่นที่นี่เพราะความรักและความต้องการที่จะดูแลกัน (บวกกับความกลัวว่าจะไม่ได้กลับมา ทั้งๆที่บอกแล้วว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้ายื่นนอกประเทศ)  ลูกความลุยคนเขียนก็ลุยค่ะ แล้วเราก็ถูกปฏิเสธที่ชั้นอิมมิเกรชั่น.... (แน่นอนว่าลูกความเศร้า แต่รับได้ เพราะทราบความเสี่ยงมาตั้งแต่ต้นแล้วก่อนตัดสินใจยื่นแบบในประเทศ) ....เราก็ลุยต่อ และเราก็ชนะที่ชั้นอุทธรณ์...... เย้

คนเขียนก็มาลุยมาลุ้นเคสอื่นที่รออุทธรณ์ต่อ...  ไม่ได้แปลว่าเคสที่ไปถึงอุทธรณ์แล้วจะต้องผ่านทุกเคสนะคะ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างประกอบกัน ที่สำคัญมากคือลูกความต้องเต็มร้อยกับงาน

คนเขียนไม่โลกสวยนะคะ และแนะนำลูกความอย่างจริงใจตรงไปตรงมา ยากก็บอกว่ายาก ไม่น่าจะมีปัญหาก็บอกว่าไม่น่าจะมีปัญหา แต่ผ่านแน่ๆได้วีซ่าแน่ๆบอกไม่ได้ เพราะไม่ใช่คนตัดสินเคส .... แถมบางเคสก็งานงอกระหว่างทาง เช่นลืมแจ้งชื่อเดิม ลืมแจ้งว่ามีลูก ลืมว่าเคยมีคดี ลืมว่าเคยเปลี่ยนชื่อ ลืมแจ้งสถานะว่าเคยแต่งงาน (มีลืมว่าเคยแต่งงานมาก่อนด้วยนะ !!)

เขียนซะยาว หวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์นะคะ... คนเขียนไม่มีแพท์เทิร์น เขียนเมื่ออยากเขียน เขียนเมื่อมีเวลา ... ขอบคุณน้องๆที่โทรมาบอกว่ายังติดตาม.... จะพยายามเขียนถี่ขึ้น...

เดี๋ยวคราวหน้ามาต่อกันด้วย Protection visa วีซ่ายอดฮิตของคนบางกลุ่ม (จริงๆ ร่างไว้นานแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาขัดเกลา รอต่อไปอีกนิดนะคะ)


Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

ข้อคิดในการใช้บริการด้านวีซ่า

10/5/2017

 
มีน้องๆโทรมาหาคนเขียนบ่อยมาก เรื่องปัญหาถูกเอเจนต์ลอยแพ หรือถ้าไม่อยากถูกลอยแพก็ต้องชำระเงินเพิ่ม

วันนี้ก็เช่นกันค่ะ น้องใช้บริการเอเจนต์ในการยื่นอุทธรณ์ไปที่ Administrative Appeals Tribunal (AAT)
[เมื่อก่อนคือ Migration Review Tribunal (MRT) บทความเดิมที่คนเขียนๆไว้นานแล้ว ยังคงปรับใช้ได้อยู่นะคะ]
น้องรอเรื่องที่ยื่นไปที่ AAT มาเกีอบปี ตอนนี้มีเอกสารเรียกให้ไป AAT Hearing (คืออะไร ช่วยอ่านบทความเดิมนะคะ)  เอเจนต์แจ้งน้องว่าถ้าจะให้ช่วยต่อ จะต้องชำระเงินเพิ่ม ไม่อย่างงั้นก็จะเลิกช่วย  น้องไม่มีเงินที่จะชำระเพิ่ม ตอนนี้ก็ต้องเตรียมตัวไป AAT ตามลำพัง เหลือเวลาเตรียมตัวอยู่นิดเดียว เอกสารก็ไม่มี ติดต่อ AAT ก็ไม่เป็น คนเขียนก็แนะนำเท่าที่แนะนำได้นะคะ

ขอนอกเรื่องนิดนึงนะคะ ทุกครั้งที่คนเขียนสะกดคำว่า Agent เป็นภาษาไทย ก็เกิดอาการไม่แน่ใจทุกทีว่าที่ถูกควรเป็น "เอเจนต์" หรือ "เอเจนท์" ... แต่คนเขียนชอบ "เอเจนต์" มากกว่าก็จะสะกดแบบนี้ จนกว่าจะมีคนแจ้งเข้ามาว่าสะกดผิดนะคะ

เข้าเรื่องกันต่อ... เรื่องขอเรื่องคืออยากให้ข้อคิดและข้อมูลที่น้องๆบางคนอาจจะไม่ทราบ

1. กฏข้อบังคับของ Registered Migration Agent ระบุว่าเอเจนต์จะต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนเริ่มงาน           ว่าบริการที่เอเจนต์เสนอจะทำให้ลูกความมีอะไรบ้าง ประมาณการณ์ค่าบริการและค่าใช้จ่ายอื่นๆเช่นค่ายื่นใบ
    สมัครวีซ่า/ค่ายื่นอุทธรณ์   ค่าตรวจสุขภาพ ค่าใบตำรวจ เป็นต้น

2. ในส่วนของค่าบริการ บางเอเจนต์อาจจะให้จ่ายรวดเดียวเป็นก้อนใหญ่เลย ซึ่งคลอบคลุมงานทั้งหมดที่ต้องทำ
    บางเอเจนต์อาจจะให้มีการผ่อนจ่ายเป็นงวดๆ บางเอเจนต์อาจจะให้มีการจ่ายตามสเต็ปของงานที่ทำหรือจะทำ
    ในอนาคต หรือจะมีการคิดค่าบริการกันเป็นรายชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการตกลงกันค่ะ แต่ละเอเจนต์ก็มีวิธีการคิดและ
    วิธีชำระค่าใช้จ่ายและค่าบริการแตกต่างกันไป

3. การเรียกค่าใช้จ่ายในการทำงานเพิ่ม ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิด ถ้า

         * มีการแจ้งค่าใช้จ่าย ค่าบริการกันล่วงหน้าแล้ว และเรียกชำระกันเป็นงวดๆ (Instalment) หรือตามสเต็ป
            ของงานที่จะเกิดขี้น
            (ซึ่งจริงๆในกรณีนี้ไม่ถือเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่ม ถ้าได้มีการตกลงกันแบบนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว คือทราบอยู่แล้วว่าจะ
            มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นเมื่อเวลาใดเวลาหนึ่งมาถึง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น)

        * เป็นงานที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย เช่น กฏหมายเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน งานงอกเพราะลูกความ
            บอกไม่หมด หรืองานงอกเพราะอิมมิเกรชั่นไปเจอข้อมูลที่ลูกความก็ไม่เคยทราบมาก่อน แล้วกลาย
            เป็นปัญหาที่จำเป็นต้องมีการแก้ไข และเป็นเหตุให้เอเจนต์ต้องใช้เวลาเกินกว่าที่คาดไว้ในการทำเคส

4. การเรียกค่าใช้จ่ายที่ไม่โอเค คืออยู่ๆนึกอยากเรียกเก็บก็เรียกเก็บ ลูกความไม่ทราบมาก่อน ไม่ได้มีการตกลงกัน
    ไว้ล่วงหน้า ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ และที่สำคัญไม่ได้เตรียมเงินไว้

ในกรณีของน้องที่ยกตัวอย่างข้างบน การที่เอเจนต์เรียกเก็บเงินเมื่อมีเอกสารจาก AAT เรียกให้ไป Hearing คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดแต่อย่างใด ถ้าเอเจนต์ได้มีการแจ้งเป็นลายลักษณ์ให้ลูกความทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าเมื่อ AAT เรียกมาจะมีค่าบริการเท่านั้นเท่านี้ที่ต้องชำระ (ก็คือต่างฝ่ายต่างเข้าใจตรงกัน ลูกความก็มีหน้าที่เก็บเงินเผื่อค่าใช้จ่ายตรงนี้ เมื่อถึงเวลาเรียกเก็บก็ชำระ ถ้าลูกความไม่สามารถชำระได้ เอเจนต์จะไม่ทำงานต่อก็เป็นสิทธิ์ของ
เอเจนต์)  แต่ถ้าลูกความไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าจะมีค่าใช้จ่ายงอกขึ้นมา ก็ไม่ได้มีการเก็บเงินเผื่อไว้ เอเจนต์จะมาแจ้งค่าบริการเพิ่มภายหลัง ด้วยเงื่อนไขว่าถ้าไม่จ่ายจะถอนตัว คนเขียนว่าไม่แฟร์ และที่สำคัญไม่ถูกต้องตามกฏข้อบังคับของ Registered Migration Agent นะคะ

*** ทำวีซ่า ทำอุทธรณ์... ทำสัญญาการทำงานเป็นลายลักษณ์อักษรนะคะ
     ก่อนเซ็น... อ่าน
     สงสัย... ถามก่อนเซ็น


บทความเก่าของคนเขียนเกี่ยวกับการเลือก Registered Migration Agent หรือ Immigration Lawyer ยังคงปรับใช้ได้อยู่นะคะ

ป.ล. Registered Migration Agent ไม่ได้เป็นทนายความกันทุกคน
       ทนายความก็ไม่ได้เป็น Registered Migration Agent กันทุกคน
       แต่ทนายความที่จะให้การช่วยเหลือทางด้านวีซ่าได้จะต้องเป็น Registered Migration Agent ด้วย
       Registered Migration Agent ทุกคนจะมีเลขประจำตัว (MARN) 7 หลัก

ทุกคนมีวิธีพิจารณาและตัดสินใจเลือกเอเจนต์ใดเอเจนต์หนึ่งแตกต่างกันไป แต่อย่างน้อยๆก่อนตัดสินใจก็ควรจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องสำหรับใช้ประกอบการตัดสินใจนะคะ

หน่วยงานที่ควบคุมดูแล Registered Migration Agent คือ Office of the Migration Agents Registration Authority

น้องสามารถใส่ชื่อ, นามสกุล, ชื่อธุรกิจ, สถานที่ตั้ง หรือเลขประจำตัว (MARN) 7 หลัก เพื่อเช็คได้ว่า
- เป็นเอเจนต์จริงๆ ไม่ได้มีการแอบอ้าง
- เป็นเอเจนต์ที่ยังมีใบอนุญาติอยู่ ไม่ได้หมดอายุ หรือถูกยกเลิกไปแล้ว
- เป็นเอเจนต์ที่เป็นทนายความด้วยหรือไม่ เอเจนต์ที่เป็นทนายความด้วย ก็จะมีคำว่า "This registered
  migration agent is also an Australian Legal Practitioner."
- เอเจนต์อยู่ในฐานะอะไร เช่น เป็น Employee, consultant หรือ Owner / Director
- เอเจนต์ทำงานกี่ที่ (บางคนไม่ได้ทำงานประจำ แต่เป็น consultant / subcontractor ให้กับเอเจนต์อื่นอีกที)
- ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และ website (ถ้ามี)


Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

แชร์ประสบการณ์ และสาระพันข้อเตือนใจ

21/8/2014

 
คนเขียนได้รับความไว้วางใจให้ช่วยเหลือลูกความท่านหนึ่ง (เรียกว่าครอบครัวหนึ่งดีกว่า เพราะมีสมาชิกหลายคนอยู่) คุณลูกความถูกปฏิเสธวีซ่า 457 มา และเรื่องอยู่ที่ชั้นอุทธรณ์ MRT คุณลูกความถามว่ามีทางรอดไหม ทนายที่ทำเรื่องให้ไม่ใส่ใจเลย อยากให้คนเขียนดูแลเคสที่ MRT ให้ หลังจากคนเขียนศึกษาเคส นั่งคิดนอนคิดอยู่หลายตลบ ได้ตอบกลับไปว่ายากค่ะ ยื่นใหม่ง่ายกว่า แต่ก็ยังยากอยู่ดี แค่ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับการลุยต่อในชั้นอุทธรณ์เท่านั้นเอง  โน๊ตตัวโตๆ กรุณาอย่ายึดเอาประโยคข้างต้นเป็นสรณะ คนเขียนไม่ได้หมายความว่าทุกเคสที่ถูกปฏิเสธแล้วยื่นใหม่ง่ายกว่าที่จะไปสู้ที่ชั้นอุทธรณ์ แต่ละเคสมีสถานะภาพ และสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นทางออกย่อมไม่เหมือนกัน

         ข้อเตือนใจที่ 1 -
อย่าเอาเคสคนอื่นมาเปรียบเทียบ หรือมาปรับใช้กับเคสเรา เราอาจจะมีสถานะภาพและสถานการณ์หลายๆอย่างคล้ายเคสเพื่อนเรา แต่รับรองได้ว่าไม่มีสองเคสไหนที่เหมือนกันเด๊ แต่ละเคสจึงควรได้รับการวินิจฉัยอย่างละเอียด โดยไม่เอาไปเปรียบเทียบกับเคสของคนอื่น


รายละเอียดในเคสนี้มีมากค่ะ เล่าไปสามวันก็ไม่จบ และก็ไม่เล่าด้วยเพราะขี้เกียจพิมพ์ สั้นๆคือทนายคนที่ช่วยเหลือคุณลูกความในการยื่นครั้งที่ถูกปฏิเสธมานี่ (ไม่ใช่คนเขียนนะ ขอบอก) ยื่นเอกสารที่ขัดแย้งกันอยู่ในตัวเข้าไป เห็นเอกสารแล้ว ถ้าคนเขียนเป็นอิมก็คงปฏิเสธเคสนี้เหมือนกัน

สรุปว่าคุณลูกความไว้ใจให้ทำเคสให้ค่ะ คนเขียนแนะนำว่ายื่นใหม่ แต่คิดว่าเก็บเคสเดิมที่ MRT ไว้เป็น Backup ก่อน ก็ยื่นไปแล้ว เสียตังค์ไปแล้วนี่ แต่ที่เก็บไว้ก่อนนี่ไม่ได้เผื่อชนะนะคะ เพราะไม่คิดว่าจะรอด แต่เก็บไว้เพื่อประโยชน์อื่น (ประโยชน์อะไรเอ่ย ยาวค่ะ ขอเป็นคราวอื่นนะคะ เดี๋ยวจะแหวกแนวจนงงว่าพูดเรื่องอะไรกันแน่)

ทำเคสนี้เครียดค่ะ มากด้วย เพราะถ้าพลาด สมาชิกในครอบครัวได้แพ๊คกระเป๋ากลับบ้านกันทั้งครอบครัว เคสนี้อยู่ในระดับยากมากถึงมากที่สุด
ก็เอกสารที่อิมมีอยู่แล้ว (ไอ้ที่มันขัดกันเองอยู่น่ะ) จะทำยังไงให้มันหายไปล่ะ ไม่ต้องคิดมากค่ะ ไม่ใช่คำถามแต่เป็นประโยคบอกเล่า สรุปว่าเอกสารที่อิมมีอยู่แล้ว มันไม่มีทางหายไปได้ มันยากตรงนี้แหละ จะยื่นเอกสารยังไงให้ถูกต้องตามกฏหมาย ไม่ขัดแย้งกับของเดิมที่ก็ขัดแย้งกันอยู่ในตัว และเข้าข่ายที่จะได้วีซ่า สัมภาษณ์เจาะลึกถึงลึกที่สุดเท่านั้นค่ะ แล้วเอาข้อมูลมาประกอบกับข้อกฏหมายและนโยบายปัจจุบัน รวมถึงคำวินิจฉัยต่างๆของศาล ยื่นเอกสารที่มีคำตอบอยู่ในตัว และอุดช่องโหว่ทุกช่องที่คิดได้ (แต่ถ้าคุณไม่รู้ว่าอะไรคือช่องโหว่ คุณก็คงไม่หาทางอุดเนอะ บางอย่างสอนกันไม่ได้ค่ะ ประสบการณ์และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น)

สรุปว่าเคสนี้ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ขอบอกว่าหินมาก ลูกความดีใจมาก คนเขียนก็ดีใจมากเช่นกันที่ส่งคุณลูกความ (และครอบคร้ว) ถึงที่หมาย เหมือนยกภูเขาออกจากอก จากนี้ก็ได้แต่หวังว่าคุณลูกความจะไม่ทำชีวิตตัวเองให้ยุ่งยากขึ้นมาอีกในช่วง 2 ปีที่รอยื่นขอ PR (อย่าคิดว่าคนเขียนพูดเล่นนะคะ หลายๆคนมีความสามารถมากมายในการทำชีวิตให้มีสีสัน และยุ่งยากต่อการช่วยเหลือ)

        ข้อเตือนใจที่ 2 -
เลือกให้ดี
บางครั้งการเลือกทนายหรือเอเจนต์ ก็เหมือนการเลือกคู่ เลือกได้ดีก็ดีไป เลือกได้ไม่ดี กว่าจะรู้ก็เสียเงินเสียเวลา และอาจจะถึงเสียอนาคตด้วย  อ่านวิธีการเลือกทนายหรือเอเจนต์ได้ที่นี่ 

        ข้อเตือนใจที่ 3 -
เมื่อเลือกได้แล้ว เข้าใจล่ะว่าเราไว้ใจเค้าในระดับหนึ่ง แต่กรุณาอย่าปล่อยทุกอย่างให้อยู่ในมือทนายหรือเอเจนต์ ชีวิตเรา อนาคตเราที่ฝากไว้กับเค้า ตามงานบ้าง ถามบ้างว่าเค้าตั้งใจจะยื่นเอกสารอะไร เอกสารหน้าตาเป็นอย่างไร อย่างน้อยเค้าจะได้ทราบว่าเราใส่ใจ เผื่อเค้าคิดอยู่ว่าจะทำงานแบบเรื่อยๆเฉื่อยๆ เค้าก็อาจจะตั้งใจทำงานมากขึ้นนะ

        ข้อเตือนใจที่ 4 -
อย่ายื่นเอกสารให้ทนายหรือเอเจนต์เอาวินาทีสุดท้าย เหลือเวลาให้เค้าทำงานบ้าง มีความตั้งใจทำงานอย่างเดียวไม่พอนะคะ ต้องมีเวลาด้วย  ให้เวลาเค้า = เพิ่มโอกาสให้เราได้วีซ่า
                       
ขอสารภาพว่าคนเขียนแอบตุ่ยๆกับคุณลูกความท่านนี้เล็กน้อย เพราะต้องตามงานกันบ่อยครั้ง (ไม่ใช่ลูกความตามคนเขียนนะ แต่คนเขียนต้องตามคุณลูกความ ก็เล่นเงียบหายไปเป็นระยะๆ) เข้าใจละว่าเค้าไว้วางใจเรา แต่ไม่ให้ข้อมูลไม่ให้เอกสาร ประกอบกับคนเขียนนั่งเทียนไม่เป็น สรุปว่างานมันไม่เดิน แต่ Deadline มันไม่รอ ก็ต้องมีการเตือนกัน (อย่างพี่เตือนน้องนะ แอบดุ แต่ด้วยความหวังดี) ว่าอย่าให้คนตั้งใจทำงานเสียความตั้งใจนะจ๊ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องวีซ่าเป็นเรื่องอนาคตของเรา เราซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องต้องใส่ใจและจัด Priority ให้ถูกต้อง  ถ้าคุณลูกความท่านนี้มาอ่านคงรู้ว่าคนเขียนหมายถึงเค้านะ  ขอบอกว่าอย่าคิดมากน้อง ไม่มีใครรู้ว่าน้องคือใคร ยกเว้นน้องจะไปบอกใครๆว่าพี่เค้าหมายถึงชั้นเองล่ะเทอ  (ซึ่งจริงๆ พี่อาจจะพูดถึงเคสอื่นที่มีข้อมูลใกล้เคียงกันอยู่ก็ได้ เพราะลูกความพี่ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มที่ชอบสร้างสีสันให้ชีวิตซะด้วย) อีกอย่างคือคิดซะว่าเราได้ร่วมด้วยช่วยกันให้ข้อมูล แชร์ข้อคิดกับคนอื่นๆที่อาจจะอยู่ในสถานะการณ์ใกล้เคียงกับเราเนอะ
 
        ข้อเตือนใจที่ 5 -
ทนายหรือเอเจนต์ ไม่มีเวทมนต์นะจ๊ะ ทำได้แค่เต็มที่ นี่พูดถึงคนที่มีใจรักงานและมีความจริงใจกับลูกความนะคะ จะให้มารับปากว่าผ่านแน่ ได้วีซ่าแน่ เป็นไปไม่ได้ เพราะทนายหรือเอเจนต์ไม่ใช่คนตัดสินเคส คนที่หวังจะได้ยินประโยคสวยหรูให้ความหวัง รับประกันว่าได้วีซ่าแน่ คุณจะไม่ได้ยินประโยคพวกนี้จากคนที่มีจรรยาบรรณในการทำงาน เพราะฉะนั้นอย่าให้ใครมาหลอกเรา และที่สำคัญเราอย่าหลอกตัวเอง มีความหวังได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง เข้าใจสถานะภาพและสถานการณ์ที่แท้จริงของเราเองดีที่สุด


Hope for the best and prepare for the worst - Good luck, everyone.

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com

1 กรกฏาคม 2014 จะมีกฏอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

19/6/2014

 
เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและความต้องการทางด้านแรงงานของประเทศ ทางอิมมิเกรชั่น & รัฐบาลของประเทศออสเตรเลีย มีการปรับเปลี่ยนกฏหมายและนโยบายด้านคนเข้าเมืองอยู่เรื่อยๆค่ะ

โดยเฉพาะวันที่ 1 กรกฏาคม ของทุกปี จะเป็นวันที่(หลัก) ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง อัพเดทกฏหมายและนโยบายทางด้านคนเข้าเมือง

แล้ววันที่ 1 กรกฏาคม ปีนี้ (2014) จะมีอะไรเปลี่ยนบ้างล่ะ?????

กฏหมายก็ทยอยๆออกมานะคะ คนเขียนก็ต้องอัพเดทอยู่เรื่อยๆ แต่ที่คนเขียนทราบ ณ ตอนนี้
ก็คือ

1. อาชีพ Chef จะเข้าไปอยู่ใน Skilled Occupations List หรือที่เรียกสั้นๆว่า (SOL)

ผลของมันคืออะไร?? ก็คือคนที่มีอาชีพนี้ และ/หรือเรียนมาสายนี้ อาจจะสามารถขอวีซ่าแบบอิสระ (Independent) โดยไม่จำเป็นต้องมีนายจ้างสปอนเซอร์ได้ ถ้ามีคุณสมบัติอื่นๆเข้าข่ายตามที่กฏหมายกำหนดด้วยนะคะ

คนที่เรียนมาสายนี้ แต่คุณสมบัติไม่พอที่จะขอ PR ได้ ก็อาจจะมีสิทธิขอวีซ่า 485 (Graduate Temporary visa) ได้ ซึ่งถ้าได้วีซ่ามา ก็สามารถอยู่และทำงานเต็มเวลาในประเทศออสเตรเลียได้อีก 18 เดือน ซึ่งก็อาจจะทำให้มีโอกาสในการขอพีอาร์ (PR) ได้
ในอนาคต ไม่ว่าจะด้วยยื่นด้วยตัวเองผ่าน Independent visa หรือแบบนายจ้างสปอนเซอร์

2. นอกจากอาชีพ Chef แล้ว ยังมีอาชีพ Bricklayer และ Wall and Floor Tiler ด้วยนะคะ ที่ได้รับการเพิ่มเข้าไปใน Skilled Occupations List (SOL) ผลของมันก็เหมือนกับข้อ 1. ค่ะ

3. อาชีพ Hydrogeologist และ Exercise Physiologist จะได้รับการเพิ่มเข้าไปใน Consolidated Sponsored Occupations List (CSOL)

ผลของมันคืออะไร?? ก็จะเป็นอีก 2 อาชีพ ที่มีโอกาสได้รับการสปอนเซอร์จากนายจ้าง หรือรัฐบาลไงคะ

4. ผลของ S
kills Assessment จะมีอายุได้ยาวที่สุดที่ 3 ปีค่ะ ถ้าผลของ Skills Assessment ระบุวันหมดอายุไว้สั้นกว่า 3 ปี ก็ให้เป็นไปตามนั้น

ก่อนวันที่ 1 July 2014 Skills Assessment ไม่มีวันหมดอายุค่ะ เพราะฉะนั้นใครที่ Skills Assessment กำลังจะหมดอายุ ก็มี 2 ทางเลือกค่ะ ทำ Skills Assessment ใหม่อีกรอบ หรือยื่นขอวีซ่าก่อนวันที่ 1 กรกฏาคม 2014 เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะต้องเข้าไปอยู่ในกฏใหม่นะคะ

5. มีข่าวมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาว่าอาชีพ Accountant จะถูกลบออกจาก SOL แต่ ณ ตอนนี้ คนเขียนเข้าใจว่าอาชีพนี้จะยังอยู่ เพียงแต่ลดโควต้า หรือจำนวนคนที่อิมมิเกรชั่นจะออกวีซ่าให้ในอาชีพนี้จะน้อยลง แปลว่ารอนานขึ้นนั่นแหละค่ะ

ติดตามอัพเดทได้ที่นี่ค่ะ

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

จะเลือก Registered Migration Agent หรือ Immigration Lawyer คนไหนดี

10/10/2013

 
อยากจะบอกว่าเลือกคนเขียนสิคะ ....... เอ่อ... ไม่ใช่ค่ะ ....... ตามนี้ค่ะ
  1. ราคา ... ถูกอย่างเดียวไม่พอ เพราะส่วนใหญ่แล้วคุณภาพก็สมราคา ของถูกและดีไม่ใช่ไม่มี แต่หายากค่ะ ถ้าราคาถูกแล้วเค้าไม่ใส่ใจเรา ไม่ทำเคสเราอย่างเต็มที่ หรือถูกเพราะรู้งูๆปลาๆ .... คนเขียนว่าแพงนะ
  2. เข้าไปคุยค่ะ ... ถามให้มาก จะเสียตังค์ใช้บริการทั้งทีก็เพราะเราอยากได้วีซ่า เพราะฉะนั้นก็หาคนที่เราคิดว่าเค้ามีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์พอ เค้าใส่ใจเราหรือไม่ ถ้าในออฟฟิตมีพนักงานหลายคน ใครจะเป็นดูแลเคสของเรา ถ้าเรามีคำถามใครจะเป็นคนตอบคำถามเรา อย่างลืมว่าไม่ใช่ทุกคนในออฟฟิตจะเป็น Registered Migration Agent (RMA) หรือ Immigration Lawyer ทุกคน และถึงจะเป็นก็ไม่ใช่ทุกคนจะมีความรู้ ความสามารถเท่ากัน
  3. ทำการบ้านก่อนเข้าไปคุยค่ะ ..... ถ้าเรารู้รายละเอียดของวีซ่าที่เราจะสมัครมาบ้างแล้ว จะทำให้เราพิจารณาได้ง่ายขึ้นว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเรารู้มาก รู้จริงแค่ไหน หรือให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องกับเรา
  4. หลังจากที่เราคุยกับเค้า นอกเหนือจากราคา และความรู้ความสามารถแล้ว เรารู้สึกยังไงกับเค้า เราชอบ Style การทำงานของเค้าหรือไม่ อย่าลืมว่าคนที่เราเลือกจะเป็นคนดูแลเคสของเรา และทำงานกับเราไปอีกหลายเดือน หรืออาจจะเป็นปี ... หรือหลายปี  ถ้าเรารู้สึกอึดอัด ไม่กล้าถาม ไม่กล้าตาม หรือเค้าทำให้เรารู้สึกกลัว ไปหาคนอื่นค่ะ ..... แน่นอนว่า Registered Migration Agent หรือ Immigration Lawyer ไม่ใช่เพื่อนเรา และคงไม่มานั่งคุยเล่นในลักษณะเพื่อน แต่ควรจะเป็นคนที่ Approachable หรือเราสามารถเข้าถึงได้ โดยที่ไม่รู้สึกอึดอัดค่ะ  ถ้าการสื่อสารขัดข้อง จะทำงานร่วมกันยังไงให้ออกมาดี ถูกมั๊ยคะ
  5. หา feedback ค่ะ ถามเพื่อน หรือคนที่เคยใช้บริการ ว่าคนๆนั้นทำงานเป็นยังไง มีประสบการณ์หรือไม่ และจะดูแลเคสของเราได้ดีแค่ไหน
  6. ถ้า RMA หรือ Immigration Lawyer คนไหน รับรอง (Guarantee) ว่า ได้วีซ่าแน่ๆ ถอยออกมาตั้งหลักค่ะ  ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถ Guarantee ได้ว่าคุณจะได้วีซ่าแน่ๆ เพราะแต่ละเคสมีเงื่อนไข ปัจจัยมากมายที่ต้องพิจารณา ทั้งตัวลูกความเอง ข้อมูลที่่ให้มา คุณภาพของเอกสารที่มี รวมถึงเจ้าหน้าที่อิมมิเกรชั่นที่พิจารณาเคสของเรา และกฏหมายข้อบังคับที่อาจจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ได้  ที่สำคัญที่สุดกฏข้อบังคับมารยาทของ RMA ไม่อนุญาติให้ RMA Guarantee ค่ะ .... สำหรับคนเขียน ไม่เคยรับรองใครเลยค่ะว่าถ้าให้คนเขียนทำเคสให้จะได้วีซ่าแน่ๆ (แม้ในบางเคส จากประสบการณ์จะรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงเคสนี้ก็ต้องผ่าน) คนเขียนบอกได้เพียงว่าจะดูแลเคสอย่างใส่ใจ  และจะทำให้ดีที่สุด .... สำหรับ Style การทำงานของคนเขียน ... ถ้าเคสซับซ้อน มีความเสี่ยงสูงก็จะบอกตามนั้น มีความเสี่ยงน้อยมีความเป็นไปได้สูงก็บอกตามนั้นเหมือนกัน .... ชอบที่จะให้ลูกความอยู่ในโลกแห่งความจริงค่ะ ตกลงมาจะได้ไม่เจ็บมาก
  7. ถ้าตกลงใจได้แล้วว่าคนนี้แหละใช่เลย .... อ่านสัญญาค่ะ อย่าหลับหูหลับตาเซ็น ถ้ามีคำถาม ถามค่ะ เพราะสัญญาผูกมัดทั้งสองฝ่าย  ถ้าถูกเร่งรัดให้เซ็น หรือเค้าไม่พอใจที่เรามีคำถาม ถอยออกมาตั้งหลักค่ะ ถามตัวเองว่าเราจะทำงานร่วมกันไปอีกหลายเดือน หรือปีกับคนๆนี้ได้มั๊ย  อย่าลืมว่า RMA หรือ Immigration Agent ไม่มีเวทมนต์ที่จะเสกเอกสารประกอบการยื่นวีซ่าให้เราได้ เค้าต้องได้เอกสาร(ที่มีคุณภาพ)จากเรา แต่ถ้าเค้าไม่บอกว่าเอกสารที่มีคุณภาพที่เค้าต้องการจากเราคืออะไร เราก็ไม่มีให้เค้า  ... ที่อยากจะบอกก็คือ การสื่อสารระหว่างกันเป็นสิ่งสำคัญค่ะ ถ้าสื่อสารกันไม่ได้ แล้วจะทำงานด้วยกันอย่างไร ???????

หวังว่าข้อมูลนี้จะมีประโยชน์แก่คนที่กำลังมองหา RMA หรือ Immigration Lawyer บ้างนะคะ
ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ  .....Seek and you shall find.....

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

จะยื่นวีซ่า จำเป็นต้องใช้ Migration Agent หรือไม่

10/10/2013

 
คำตอบคงแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนตอบแต่ถ้าถามคนเขียน แน่นอนว่าคำตอบต้องเป็นว่า "ควรจะ" หรือในบางกรณี "ต้องใช้" ถ้าไม่อยากเสียเงิน เสียเวลา เสียประวัติ และในบางเคสเสียอนาคตที่จะได้อยู่ในประเทศนี้

การที่เรายื่นขอวีซ่าแล้วจะได้หรือไม่ได้วีซ่านั้น อิมพิจารณาอยู่บนพื้นฐานของ:-
    1.  ตัวบทกฏหมายคนเข้าเมือง และ
    2.  นโยบายของรัฐบาลในช่วงเวลานั้นๆ 
อย่างที่เคยกล่าวมาแล้ว บางครั้งเรายื่นเอกสารตาม checklist ที่หาได้จากเวปของอิม ไม่เพียงพอ และมีหลายเคสที่ถูกปฏิเสธทั้งที่ยื่นเอกสารทุกอย่างที่อิมต้องการ  เหตุผลส่วนใหญ่ของการถูกปฏิเสธก็เพราะเอกสารที่ยื่นไปไม่มีคุณภาพ

ในความเห็นของคนเขียนนะคะ คนที่อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้บริการของ Registered Migration Agent (RMA) หรือ Immigration Lawyer ก็คือคนที่ยื่นวีซ่าที่ไม่มีความซับซ้อนมาก เช่นวีซ่าท่องเที่ยว, อ่านข้อมูลจากอิมแล้วเข้าใจ, และไม่ได้มีประวัติทางอิมมิเกรชั่นที่ซับซ้อน เช่นไม่เคยถูกปฏิเสธ หรือยกเลิกวีซ่า, ไม่เป็นผี, วีซ่าตัวปัจจุบันไม่มีเงื่อนไขที่ทำให้ยากต่อการยื่น

คนที่ "ควรจะ" หรือ "ต้องใช้" บริการของ Professional ก็คือคนที่ยื่นวีซ่าที่ค่อนข้างซับซ้อน และมีข้อกำหนดมากมาย เช่น 457, ENS, RSMS, Partner visa และคนที่มีประวัติทางอิมมิเกรชั่นที่ยุ่งเหยิง ส่วนใหญ่เจ้าตัวจะรู้ดีว่าประวัติตัวเองมีความเสี่ยงหรือไม่

ยกตัวอย่าง Partner visa

หลายคนอาจจะเถียงอยู่ในใจว่า Partner visa ง่ายนิดเดียวทำเองก็ได้  สำหรับคนเขียนคิดว่าจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ขึ้นอยู่กับเคสแต่ละเคส  คนที่ทำเองและได้วีซ่ามาแล้ว ก็ต้องว่าง่ายล่ะ  คนที่ทำเองแล้วถูกปฏิเสธมา ก็มานั่งเสียใจว่า รู้อย่างงี้ใช้บริการ Professional ตั้งแต่แรกดีกว่า

คนเขียนมีคนที่ถูกปฏิเสธ Partner visa ติดต่อเข้ามามากมาย บางคนก็ใช้บริการ Agent ที่ไม่ใส่ใจ ไม่ตาม และสะเพร่าในการทำงาน บางคนก็อ่านเอง ทำเอง, ทำตามเพื่อนบอก, แฟนออสซี่ยืนยันว่าเค้าทำได้ สารพัดเหตุผล ......ปัญหาก็คือ เมื่อมาถึงจุดที่ถูกปฏิเสธวีซ่า บางเคสก็โชคดีพอมีทางแก้ไข แต่เสียตังค์เพิ่ม และแน่นอนเสียเวลา ..... บางเคสก็ไม่มีทางแก้ นอกจากจะต้องออกจากประเทศออสเตรเลีย

เมื่อเร็วๆนี้คนเขียนได้ให้คำปรึกษากับลูกความชาวเม็กซิกัน ซึ่งมาหาคนเขียนหลังจากที่ได้ยื่น Partner visa เข้าไปเอง รอมาปีกว่า ก็ได้รับจดหมายจากอิมขอเอกสารเพิ่มเติม เจ้าตัวเริ่มกังวลว่าควรยื่นเอกสารอะไรบ้าง เพื่อที่วีซ่าจะได้ผ่านแน่ๆ  หลังจากคนเขียนได้อ่านจดหมายจากอิม และซักถามประวัติอยู่ชั่วโมงกว่า ก็สรุปได้ว่า....ไม่ว่ายื่นเอกสารอะไรเข้าไปเคสนี้ก็ไม่ผ่าน (ถ้าผ่านก็ฟลุกล่ะ)  ลูกความร้องไห้ พร้อมบอกคนเขียนว่าก่อนยื่นก็ไปหา Agent มา Agent บอกว่าไม่มีปัญหายื่นได้ เจ้าตัวก็เลยยื่นเอง คนเขียนก็ตอบไม่ได้ (เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์) ว่า Agent คนนั้นไม่ดูเคสให้ละเอียด หรือไม่เชี่ยวชาญพอเลยให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือให้ข้อมูลถูกต้อง แต่ลูกความต้องการประหยัดเลยทำไปตามมีตามเกิด (และตามความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง)  ผลสุดท้ายเคสนี้แทนที่จะเป็นการประหยัดตังค์ กลายเป็นเคสที่ทั้งแพง เพราะจะต้องเสียตังค์ซ้ำซ้อน และเสียเวลาไปอีกอย่างน้อยๆ 2-3 ปี .....  ณ จุดนี้จะไม่ให้ Professional ทำก็ไม่ได้แล้ว เพราะกลายเป็น Complex case ซึ่งแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายสูงไปตามความยากของงาน ..... ถามว่าคุ้มกันไหม กับเวลาที่เสียไป

นอกจากปัญหาวุ่นวายนี้แล้ว ตลอดเวลาปีว่าที่รอเรื่องมา ลูกความท่านนี้ถือ Bridging visa ที่ไม่สามารถทำงานได้ ด้วยความไม่รู้ และไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง ก็ทำงานหลบๆซ่อนๆ เสี่ยงต่อการถูกจับมาปีกว่า ทั้งๆที่ไม่จำเป็นเลย เพราะลูกความท่านนี้จริงๆแล้วสามารถที่จะขอเปลี่ยนเงื่อนไขให้ทำงานได้

บางครั้งความไม่รู้ ทำให้เราพลาดสิ่งที่ไม่ควรจะพลาด เสียโอกาสที่ไม่ควรจะเสีย

คนเขียนไม่ได้บอกว่าทุกคนจำเป็นต้องใช้บริการของ Registered Migration Agent หรือ Immigration Lawyer นะคะ  แต่ละคนก็ต้องใช้วิจารณญานของตัวเอง ว่าเคสของเราจำเป็นต้องใช้บริการของ Professional หรือไม่  เราเข้าใจข้อกฏหมายและนโยบายที่อิมจะเอามาปรับใช้แค่ไหน และยอมรับความเสี่ยงที่จะทำเองและอาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้หรือไม่

คนเขียนแค่รู้สึกเสียดายโอกาสของหลายๆคน ที่ถ้าทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรก ก็คงไม่มาอยู่ที่จุดนี้ที่ต้องเสียตังค์ซ้ำซ้อน และชีวิตก็จะยังไม่แน่นอนไปอีกหลายปี

สำหรับคนที่เดินผิดพลาด เอาใจช่วยค่ะ
สำหรับคนที่กำลังตัดสินใจว่าจะทำเองดีหรือไม่ คิดให้ถี่ถ้วน อ่านแล้วอ่านอีก ถ้ามั่นใจ ลุยเลยค่ะ แต่อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆ ถ้าจะทำเองทำให้ดีที่สุด จะได้ไม่มาเสียใจทีหลัง ถ้าไม่มั่นใจในความสามารถตัวเอง ใช้บริการ Professional ค่ะ มีมากมายทั้งคนไทย และชาติอื่น รวมถึงออสซี่ด้วย

Blog ถัดไป .... วิธีเลือก Registered Migration Agent / Immigration Lawyer ....

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

    Author


    พี่เก๋ - กนกวรรณ ศุโภทยาน เป็นทนายความไทย และทนายความของประเทศออสเตรเลีย (Immigration Lawyer)

    มีประสบการณ์เป็นทนายความเฉพาะทาง ด้าน IMMIGRATION ของประเทศออสเตรเลีย รับวางแผนการขอวีซ่า ยื่นใบสมัครขอวีซ่าทุกประเภท ช่วยเหลือในชั้นอุทธรณ์ที่ Administrative Appeals Tribunal และในชั้นศาลค่ะ

    ต้องการคำแนะนำ หรือความช่วยเหลือ ติดต่อได้ที่ Immigration Success Australia
    mb: 0428 191 889 หรือ www.immigrationsuccessaustralia.com

    Archives

    December 2023
    November 2023
    October 2023
    July 2023
    September 2022
    July 2022
    January 2022
    December 2021
    November 2021
    October 2021
    September 2021
    July 2021
    June 2021
    March 2021
    February 2021
    January 2021
    December 2020
    November 2020
    October 2020
    September 2020
    July 2020
    June 2020
    May 2020
    April 2020
    March 2020
    February 2020
    March 2019
    January 2019
    November 2018
    October 2018
    August 2018
    July 2018
    June 2018
    April 2018
    October 2017
    September 2017
    August 2017
    May 2017
    April 2017
    August 2015
    April 2015
    December 2014
    September 2014
    August 2014
    June 2014
    March 2014
    January 2014
    October 2013
    September 2013
    July 2013
    June 2013

    Categories

    All
    วีซ่า
    อุทธรณ์
    วีซ่าคู่ครอง
    101
    102
    103
    143
    173
    186
    187
    190
    300
    309
    4020
    408
    417
    445
    457
    462
    476
    482
    485
    489
    491
    494
    500
    870
    AAT
    Accountant
    Administrative Appeals Tribunal
    Adoption Visa
    Agriculture Visa
    Approved Nomination
    Australia
    Australian
    Australian Citizenship
    Australian Immigration
    Bar
    Bricklayer
    Bridging Visa
    Bridging Visa A
    Bridging Visa E
    BVA
    BVE
    Changes To Immigration Law
    Changing Courses
    Chef
    Child Visa
    Consolidated Sponsored Occupations List
    COVID 19
    COVID-19
    CSOL
    Decision Ready
    Decision-ready
    Decision Ready Application
    Decision-ready Application
    De Facto Relationship
    Employer Sponsored
    English Exemption
    ENS
    Exercise Physiologist
    Family
    Family Violence
    Federal Circuit Court
    Graduate Work
    GTE
    Hydrogeologist
    Ielts
    Immigration
    Immigration Lawyer
    Judicial Review
    Jurisdictional Error
    Migration Agent
    Migration Review Tribunal
    MRT
    Nomination
    Orphan Relative Visa
    Overstay
    Parent
    Partner Visa
    PIC 4020
    Post Study Work
    Processing Period
    Protection Visa
    Public Interest Criteria
    Public Interest Criterion
    Regional Australia
    Regional Visas
    Registered Migration Agent
    Rma
    RSMS
    Section 48
    Section 48 Bar
    Self Sponsorship
    Skilled Migration
    Skilled Occupations List
    Skilled Work Regional
    Skills Assessment
    SOL
    Sponsor
    Sponsorship
    Student Visa
    Substantive Visa
    Training
    Travel Exemption
    Tsmit
    Unlawful
    Visa Cancellation
    Visa Refusal
    Wall And Floor Tiler
    Working And Holiday Visa

    RSS Feed

Powered by Create your own unique website with customizable templates.