สรุปได้ว่า
- วีซ่าจะหมดเดือนมีนาคม 2024 และจะต่อวีซ่านี้อีกไม่ได้แล้ว
- นับนิ้วดู ..... มีเวลาตั้ง 4 เดือน (สบายๆ) ......
- สัมภาษณ์ประเด็นอื่นต่อ ...... เริ่มไม่สบายแล้ว
- วีซ่าตัวปัจจุบัน ให้ทำงานกับนายจ้างได้แค่ 6 เดือน และธันวาคมนี้จะครบ 6 เดือน .... เหลือเวลา 1 เดือน !!!
- ถ้าจะทำงานกับนายจ้างต่อ ก็ต้องยื่น 482 ภายในธันวาคม (จากนั้นก็ action สเต็ปอื่นต่อ และรอลุ้น)
- ถ้าจะไม่ยื่นเดือนธันวาคม ต้องหานายจ้างคนใหม่
- ความยากที่ 1 - อาชีพที่จะสปอนเซอร์ Customer Service Manager มีโอกาสถูกปฏิเสธสูงมาก (แปลว่าถ้าไม่จำเป็น ไม่อยากแตะอาชีพนี้) และถ้า Nomination ไม่ผ่าน วีซ่าก็ไม่ผ่าน
- ความยากที่ 2 - ลูกความมีประสบการณ์ไม่ถึง 2 ปี
- ถ้ายื่นเดือนธันวาคม 2023 คนเขียนว่าโอกาสไม่รอดสูง (แปลว่าไม่แนะนำให้ยื่นตอนนี้)
- ถ้ายื่นก่อนวีซ่าหมดเดือนมีนาคม 2024 คนเขียนว่า 50/50 เพราะประสบการณ์ก็ยังห่างไกล 2 ปีไปมาก แต่ก็ให้คำแนะนำลูกความว่าควรจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับเคสบ้างในเวลา 4 เดือนนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง และก็จะทำให้คนเขียนร่างจดหมายสนับสนุนเคสได้มีน้ำหนักมากขึ้นด้วย ... เพราะประสบการณ์ตรงมีไม่ถึง 3 เดือน ที่เหลือเป็นประสบการณ์ที่คนเขียนต้องทำโฆษณาชวนเชื่อขั้นสูงสุด .... ถ้าชวนแล้ว แต่อิมมิเกรชั่นไม่เชื่อ ก็จะถูกปฏิเสธวีซ่าไง
- ถ้าไม่อยากยื่น 482 แบบเสี่ยงๆ ก็อาจจะพิจารณาวีซ่านักเรียน หาความรู้เพิ่มและเก็บประสบการณ์เพิ่มไปซักพัก(ใหญ่ๆ) ประมาณ 3 ปี เพราะวีซ่านักเรียนจำกัดชั่วโมงทำงาน
ลูกจ้างไม่อยากเรียน และนายจ้างก็ต้องการคนทำงาน full-time ไม่ใช่ part-time โอเคที่จะรับความเสี่ยงยื่นเดือนมีนาคมก่อนวีซ่าหมด แต่ถามว่าจะแก้ปัญหาที่กำลังจะทำงานกับนายจ้างครบ 6 เดือนตอนธันวาคมยังไง แล้วถ้าย้ายไปทำงานที่อื่นแล้ว นายจ้างนี้จะสปอนเซอร์ได้ไหม (ได้) ประสบการณ์การทำงานกับที่อื่นจะนับได้ไหม (ได้ ถ้าเหมาะสม)
คนเขียนต้องนัดเวลาสัมภาษณ์นายจ้าง เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหา 6 เดือนที่ว่า และดูว่า Nomination จะใช่ Customer Service Manager แน่ๆไหม แอบหวังว่าจะเป็นอาชีพอื่นที่เหมาะสมกว่า
ได้ความว่านายจ้างเป็นธุรกิจที่มีการจัดตั้งค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งก็ทำให้ต้องระวังประเด็นอื่นตอนยื่น step 1 Standard Business Sponsorship และ Step 2 Nomination แต่ในความซับซ้อนนี้เอง ก็ทำให้คนเขียนหาทางให้ลูกความทำงานกับนายจ้างต่อไปได้ โดยไม่ผิดเงื่อนไขวีซ่า แต่ที่แก้ไขไม่ได้และต้องลุยไปข้างหน้าคืออาชีพ Customer Service Manager ซึ่งทั้งนายจ้างและคนเขียนเห็นตรงกันว่าตรงกับเนื้องานของลูกความที่สุด แต่นายจ้างก็ต้องเข้าใจความเสี่ยงที่ Nomination จะถูกปฏิเสธด้วย
อาชีพนี้มีข้อจำกัด (Caveats) อยู่ 3 ข้อ
1. เงินเดือนต้องเกิน $65,000
2. เงินหมุนเวียนของบริษัทต้องไม่ต่ำกว่า $1mil
3. ต้องไม่ใช่ Low skilled tasks
สองข้อแรกไม่ใช่ปัญหา วัดกันได้ง่าย ที่ไม่ง่ายคือข้อ 3. ซึ่งเป็นเหตุให้อาชีพนี้ถูกปฏิเสธกันเยอะ เหตุผลหลักๆคืออิมมิเกรชั่นมองว่าเนื้องานที่จะทำไม่ใช่อาชีพ Customer Service Manager แต่เป็นอาชีพอื่นที่ low skilled และไม่ได้อยู่ในลิสที่จะสปอนเซอร์ได้ หรือต่อให้เป็นอาชีพที่อยู่ในลิส แต่ถ้าเลือกอาชีพในใบสมัครไม่ถูกต้อง เคสก็ไม่ผ่านอยู่ดี
คนเขียนให้คำแนะนำว่าควรจะทำอย่างไรให้เคสมีโอกาสมากขึ้น นายจ้างกระตือรือร้นรับคำแนะนำและจะทำตาม เข้าใจความเสี่ยง จะใช้บริการ แต่ขอไปคุยกันภายในก่อนเพื่อขออนุมัติ คนเขียนขอให้เริ่มงานอย่างน้อย 8 อาทิตย์ก่อนวีซ่าหมด เคสก็ยากอยู่แล้ว ถ้าต้องรีบๆทำ โอกาสพลาดก็สูงขึ้น
6 อาทิตย์ก่อนวีซ่าหมด ลูกความติดต่อมาจะให้ทำเคสให้ .... ก่อนหน้านี้คนเขียนตามลูกความไหม คำตอบคือไม่ตามค่ะ เพราะลูกความอาจจะเปลี่ยนใจอยากใช้บริการคนอื่น จะได้ไม่ต้องลำบากใจหาคำพูดสวยๆมาตอบคนเขียน อีกอย่างคือได้แจ้งให้ทราบแล้วว่าเคสยาก รู้ว่าวีซ่าหมดอายุเมื่อไหร่ รู้ค่าใช้จ่าย รู้ว่าคนเขียนต้องการเวลาแค่ไหนที่จะทำเคสดีๆให้ ก็ต้องปล่อยให้ลูกความพิจารณาว่าจะใช้บริการหรือไม่ และจะใช้เมื่อไหร่
แล้วเหลือเวลาน้อยกว่า 8 อาทิตย์ รับเคสไหม ? .... รับค่ะ .... ลูกความที่เคยนัดปรึกษากันมาก่อน ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ คนเขียนไม่ค่อยปฏิเสธ
ลูกจ้างเซ็นสัญญาทันที พร้อมเริ่มงาน
นายจ้าง ? ....... หายไปอีก 2 อาทิตย์ ..... ระหว่างนี้คนเขียนตามไหม ..... ตามค่ะ !!!! ก็ตอนนี้รู้แล้วว่าลูกความต้องการใช้บริการ และรับลูกจ้างมาดูแลแล้ว จะไม่รับนายจ้างก็ยังไงอยู่
4 อาทิตย์ก่อนวีซ่าหมด หลังจากตามแล้วตามอีก คนเขียนต้องบอกลูกจ้างว่าไม่ไหวแล้วนะ ถ้านายจ้างไม่เซ็นสัญญาภายในเที่ยงวันนี้ คนเขียนจะไม่รับเคสนายจ้าง ที่อดทนมาจนเหลือเวลา 4 อาทิตย์เพราะสงสารลูกจ้างที่อยากให้คนเขียนทำเคสให้ทั้งส่วนนายจ้างและลูกจ้าง (แต่จริงๆนายจ้างกับลูกจ้างใช้เอเจนต์หรือทนายคนละคนกันก็ได้นะคะ)
คนเขียนเคยโพสไว้ว่า .... เคสยากไม่กลัว กลัวลูกความยาก .... นี่เลยค่ะ ลูกความยาก .... พร้อมทิ้งเคสนายจ้างไหม ณ จุดนี้ ? .... พร้อมมาก (คนเขียนไม่โอเคกับการเสียเวลาแบบนี้) .... แต่นายจ้างเซ็นสัญญาก่อนเที่ยง 5 นาที !
สรุปว่าได้นายจ้างมาเป็นลูกความ .... แอบสงสารตัวเองมากๆ นี่ขนาดจะเซ็นสัญญาทำงานยังยากขนาดนี้ แล้ว 4 อาทิตย์ที่เหลือไว้ทำงาน จะยากขนาดไหน .... ก็อย่างที่คาดไว้เลยค่ะ .... ความเงียบหายต้องมา ..... ลูกจ้างก็รับโทรศัพท์จากคนเขียนถี่ๆ เพราะต้องขอให้ช่วยตามนายจ้างให้ .... สุดท้ายเราต้องมาเร่งทำงานเอาอาทิตย์สุดท้ายก่อนวีซ่าหมด และเรายื่นใบสมัครกัน 2 วันก่อนวีซ่าหมด .... สุดยอดของความเหนื่อย แต่รับงานมาแล้ว ก็ต้องทำให้ดีที่สุด
รออยู่ 4 อาทิตย์ .... Nomination ผ่าน 482 ผ่าน .... วันเดียวกัน .... ไม่มีการขอเอกสารเพิ่ม
ลูกจ้าง (เคสนี้ไม่ใช่คนไทย) ขอบคุณคนเขียนที่อดทนมาก และไม่บ่นเค้าเลยที่นายจ้างช้า .... ก็ไม่ใช่ความผิดเค้า จะไปบ่นเค้าได้ยังไง .... ว่าแล้ว ก็คุยกันเรื่องการขอวีซ่าให้แฟน ซึ่งจริงๆลูกจ้างได้ถามคนเขียนก่อนยื่นวีซ่าแล้วว่าเค้าจะพ่วงแฟนในใบสมัครเลยได้ไหม แต่จากลักษณะความสัมพันธ์ แต่งงานก็ไม่ใช่ หลักฐาน de facto ก็ไม่มี คำแนะนำคือไม่พ่วงค่ะ .... ยื่นทีหลัง เมื่อพร้อม
นายจ้าง .... ก็ขอบคุณคนเขียนเช่นกัน แถมบอกว่าเดี๋ยวมาใช้บริการใหม่นะ เร็วๆนี้ด้วย !! ..... [อยากจะบอกว่า ไม่ต้องเร็วๆนี้ก็ได้ ขอเวลาหายใจ และทำใจหลายๆเดือนเลย]
เทรนตอนนี้คือ Nomination และ 482 มีถูกปฏิเสธกันเยอะขึ้นนะคะ และถ้าตามข่าว น่าจะทราบว่าเงื่อนไขการขอวีซ่าหลายๆประเภทปรับให้ยากขึ้น และลดโควต้าต่อปีลง .... คณิตคิดง่าย ถ้าคนสมัครมีมาก แต่โควต้ามีน้อยลง มีความเป็นไปได้อยู่ 2 อย่าง ระยะเวลารอวีซ่านานขึ้น และ/หรือวีซ่าถูกปฏิเสธเยอะขึ้น
เพราะฉะนั้น ยื่นใบสมัครวีซ่าด้วยความระมัดระวังนะคะ .... จะยื่นเอกสารอะไร จะให้ข้อมูลแบบไหน คิดให้รอบด้าน จะได้ไม่ต้องมาพยายามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ หรือตอนที่วีซ่าถูกปฏิเสธแล้ว และระวัง PIC 4020 การให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในใบสมัคร อาจจะถูกปฏิเสธ พร้อมติดบาร์ 3 ปี
Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com