เคสนี้น้องติดต่อมาหาคนเขียนหลังจากที่วีซ่า 485 ถูกปฏิเสธไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าน้องไม่ได้ยื่นใบสมัครภายใน 6 เดือนนับจากที่เรียนจบ
เคสนี้ลูกจ้างนัดปรึกษาเมื่อปลายปี 2023 ถือ Work and Holiday visa ต้องการทำวีซ่า 482 กับนายจ้างคนปัจจุบัน
สรุปได้ว่า
ลูกจ้างไม่อยากเรียน และนายจ้างก็ต้องการคนทำงาน full-time ไม่ใช่ part-time โอเคที่จะรับความเสี่ยงยื่นเดือนมีนาคมก่อนวีซ่าหมด แต่ถามว่าจะแก้ปัญหาที่กำลังจะทำงานกับนายจ้างครบ 6 เดือนตอนธันวาคมยังไง แล้วถ้าย้ายไปทำงานที่อื่นแล้ว นายจ้างนี้จะสปอนเซอร์ได้ไหม (ได้) ประสบการณ์การทำงานกับที่อื่นจะนับได้ไหม (ได้ ถ้าเหมาะสม) คนเขียนต้องนัดเวลาสัมภาษณ์นายจ้าง เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหา 6 เดือนที่ว่า และดูว่า Nomination จะใช่ Customer Service Manager แน่ๆไหม แอบหวังว่าจะเป็นอาชีพอื่นที่เหมาะสมกว่า ได้ความว่านายจ้างเป็นธุรกิจที่มีการจัดตั้งค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งก็ทำให้ต้องระวังประเด็นอื่นตอนยื่น step 1 Standard Business Sponsorship และ Step 2 Nomination แต่ในความซับซ้อนนี้เอง ก็ทำให้คนเขียนหาทางให้ลูกความทำงานกับนายจ้างต่อไปได้ โดยไม่ผิดเงื่อนไขวีซ่า แต่ที่แก้ไขไม่ได้และต้องลุยไปข้างหน้าคืออาชีพ Customer Service Manager ซึ่งทั้งนายจ้างและคนเขียนเห็นตรงกันว่าตรงกับเนื้องานของลูกความที่สุด แต่นายจ้างก็ต้องเข้าใจความเสี่ยงที่ Nomination จะถูกปฏิเสธด้วย อาชีพนี้มีข้อจำกัด (Caveats) อยู่ 3 ข้อ 1. เงินเดือนต้องเกิน $65,000 2. เงินหมุนเวียนของบริษัทต้องไม่ต่ำกว่า $1mil 3. ต้องไม่ใช่ Low skilled tasks สองข้อแรกไม่ใช่ปัญหา วัดกันได้ง่าย ที่ไม่ง่ายคือข้อ 3. ซึ่งเป็นเหตุให้อาชีพนี้ถูกปฏิเสธกันเยอะ เหตุผลหลักๆคืออิมมิเกรชั่นมองว่าเนื้องานที่จะทำไม่ใช่อาชีพ Customer Service Manager แต่เป็นอาชีพอื่นที่ low skilled และไม่ได้อยู่ในลิสที่จะสปอนเซอร์ได้ หรือต่อให้เป็นอาชีพที่อยู่ในลิส แต่ถ้าเลือกอาชีพในใบสมัครไม่ถูกต้อง เคสก็ไม่ผ่านอยู่ดี คนเขียนให้คำแนะนำว่าควรจะทำอย่างไรให้เคสมีโอกาสมากขึ้น นายจ้างกระตือรือร้นรับคำแนะนำและจะทำตาม เข้าใจความเสี่ยง จะใช้บริการ แต่ขอไปคุยกันภายในก่อนเพื่อขออนุมัติ คนเขียนขอให้เริ่มงานอย่างน้อย 8 อาทิตย์ก่อนวีซ่าหมด เคสก็ยากอยู่แล้ว ถ้าต้องรีบๆทำ โอกาสพลาดก็สูงขึ้น 6 อาทิตย์ก่อนวีซ่าหมด ลูกความติดต่อมาจะให้ทำเคสให้ .... ก่อนหน้านี้คนเขียนตามลูกความไหม คำตอบคือไม่ตามค่ะ เพราะลูกความอาจจะเปลี่ยนใจอยากใช้บริการคนอื่น จะได้ไม่ต้องลำบากใจหาคำพูดสวยๆมาตอบคนเขียน อีกอย่างคือได้แจ้งให้ทราบแล้วว่าเคสยาก รู้ว่าวีซ่าหมดอายุเมื่อไหร่ รู้ค่าใช้จ่าย รู้ว่าคนเขียนต้องการเวลาแค่ไหนที่จะทำเคสดีๆให้ ก็ต้องปล่อยให้ลูกความพิจารณาว่าจะใช้บริการหรือไม่ และจะใช้เมื่อไหร่ แล้วเหลือเวลาน้อยกว่า 8 อาทิตย์ รับเคสไหม ? .... รับค่ะ .... ลูกความที่เคยนัดปรึกษากันมาก่อน ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ คนเขียนไม่ค่อยปฏิเสธ ลูกจ้างเซ็นสัญญาทันที พร้อมเริ่มงาน นายจ้าง ? ....... หายไปอีก 2 อาทิตย์ ..... ระหว่างนี้คนเขียนตามไหม ..... ตามค่ะ !!!! ก็ตอนนี้รู้แล้วว่าลูกความต้องการใช้บริการ และรับลูกจ้างมาดูแลแล้ว จะไม่รับนายจ้างก็ยังไงอยู่ 4 อาทิตย์ก่อนวีซ่าหมด หลังจากตามแล้วตามอีก คนเขียนต้องบอกลูกจ้างว่าไม่ไหวแล้วนะ ถ้านายจ้างไม่เซ็นสัญญาภายในเที่ยงวันนี้ คนเขียนจะไม่รับเคสนายจ้าง ที่อดทนมาจนเหลือเวลา 4 อาทิตย์เพราะสงสารลูกจ้างที่อยากให้คนเขียนทำเคสให้ทั้งส่วนนายจ้างและลูกจ้าง (แต่จริงๆนายจ้างกับลูกจ้างใช้เอเจนต์หรือทนายคนละคนกันก็ได้นะคะ) คนเขียนเคยโพสไว้ว่า .... เคสยากไม่กลัว กลัวลูกความยาก .... นี่เลยค่ะ ลูกความยาก .... พร้อมทิ้งเคสนายจ้างไหม ณ จุดนี้ ? .... พร้อมมาก (คนเขียนไม่โอเคกับการเสียเวลาแบบนี้) .... แต่นายจ้างเซ็นสัญญาก่อนเที่ยง 5 นาที ! สรุปว่าได้นายจ้างมาเป็นลูกความ .... แอบสงสารตัวเองมากๆ นี่ขนาดจะเซ็นสัญญาทำงานยังยากขนาดนี้ แล้ว 4 อาทิตย์ที่เหลือไว้ทำงาน จะยากขนาดไหน .... ก็อย่างที่คาดไว้เลยค่ะ .... ความเงียบหายต้องมา ..... ลูกจ้างก็รับโทรศัพท์จากคนเขียนถี่ๆ เพราะต้องขอให้ช่วยตามนายจ้างให้ .... สุดท้ายเราต้องมาเร่งทำงานเอาอาทิตย์สุดท้ายก่อนวีซ่าหมด และเรายื่นใบสมัครกัน 2 วันก่อนวีซ่าหมด .... สุดยอดของความเหนื่อย แต่รับงานมาแล้ว ก็ต้องทำให้ดีที่สุด รออยู่ 4 อาทิตย์ .... Nomination ผ่าน 482 ผ่าน .... วันเดียวกัน .... ไม่มีการขอเอกสารเพิ่ม ลูกจ้าง (เคสนี้ไม่ใช่คนไทย) ขอบคุณคนเขียนที่อดทนมาก และไม่บ่นเค้าเลยที่นายจ้างช้า .... ก็ไม่ใช่ความผิดเค้า จะไปบ่นเค้าได้ยังไง .... ว่าแล้ว ก็คุยกันเรื่องการขอวีซ่าให้แฟน ซึ่งจริงๆลูกจ้างได้ถามคนเขียนก่อนยื่นวีซ่าแล้วว่าเค้าจะพ่วงแฟนในใบสมัครเลยได้ไหม แต่จากลักษณะความสัมพันธ์ แต่งงานก็ไม่ใช่ หลักฐาน de facto ก็ไม่มี คำแนะนำคือไม่พ่วงค่ะ .... ยื่นทีหลัง เมื่อพร้อม นายจ้าง .... ก็ขอบคุณคนเขียนเช่นกัน แถมบอกว่าเดี๋ยวมาใช้บริการใหม่นะ เร็วๆนี้ด้วย !! ..... [อยากจะบอกว่า ไม่ต้องเร็วๆนี้ก็ได้ ขอเวลาหายใจ และทำใจหลายๆเดือนเลย] เทรนตอนนี้คือ Nomination และ 482 มีถูกปฏิเสธกันเยอะขึ้นนะคะ และถ้าตามข่าว น่าจะทราบว่าเงื่อนไขการขอวีซ่าหลายๆประเภทปรับให้ยากขึ้น และลดโควต้าต่อปีลง .... คณิตคิดง่าย ถ้าคนสมัครมีมาก แต่โควต้ามีน้อยลง มีความเป็นไปได้อยู่ 2 อย่าง ระยะเวลารอวีซ่านานขึ้น และ/หรือวีซ่าถูกปฏิเสธเยอะขึ้น เพราะฉะนั้น ยื่นใบสมัครวีซ่าด้วยความระมัดระวังนะคะ .... จะยื่นเอกสารอะไร จะให้ข้อมูลแบบไหน คิดให้รอบด้าน จะได้ไม่ต้องมาพยายามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ หรือตอนที่วีซ่าถูกปฏิเสธแล้ว และระวัง PIC 4020 การให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในใบสมัคร อาจจะถูกปฏิเสธ พร้อมติดบาร์ 3 ปี Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com เคสนี้ น้องลูกความติดต่อมาจากไทย
น้องเป็นนักเรียนที่ออสเตรเลียมาหลายปี .... สัมภาษณ์กันอยู่นาน .... สรุปได้ว่า ....
น้องติดต่อคนเขียนหลังจากถูกปฏิเสธวีซ่า .... เครียดมาก ไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธวีซ่า ข้าวของที่ออสเตรเลียก็ไม่ได้แพ๊ค ค่าเช่าก็ยังต้องเสีย ตัวอยู่ไทย ไม่มีงานทำ คนเขียนขอดูเอกสารว่าวีซ่านักเรียนที่ถูกปฏิเสธยื่นอะไรไปบ้าง .... ปรากฏว่ามีจดหมายอธิบายว่าทำไมถึงมีความผิดพลาดเรื่องวีซ่า ทำไมยื่นในออสเตรเลียไม่ทัน จนมีประวัติไม่ถือวีซ่าและต้องกลับมายื่นวีซ่าจากไทย .... พูดง่ายๆคือจดหมายนี้เป็นการพยายามขอยกเว้นการติดบาร์ 3 ปีนั่นเอง แต่ .... ลืมอะไรไปรู้ไหม ??? .... ลืมตอบโจทย์ประเด็น Genuine Temporary Entrant (GTE) .... ในจดหมายไม่มีระบุว่าทำไมถึงต้องกลับมาเรียนที่ออสเตรเลีย เรียนที่ไทยได้หรือไม่ได้ etc. .... จะไปคิดเองเออเองว่าอิมมิเกรชั่นต้องคิดได้เองสิว่านักเรียนเหลืออยู่ 1 วิชา ก็ต้องตั้งใจเป็นนักเรียน กลับมาเรียนให้จบรึเปล่า ขีดเส้นใต้ 3 เส้น .... ผู้สมัครมีหน้าที่นำเสนอข้อมูล เอกสาร หลักฐาน .... อิมมิเกรชั่นไม่มีหน้าที่คิดเอง .... และถ้าปล่อยให้คิดเอง อาจจะได้ความคิดติดลบ (เช่นเคสนี้เป็นต้น) ในเมื่อข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้ .... คนเขียนแนะนำให้ยื่นวีซ่านักเรียนใหม่ ทำเอกสารให้แน่นกว่าเดิม .... แต่เสี่ยงแน่ๆ ทั้งประเด็น GTE และประเด็นติดบาร์ 3 ปี น้องบอกว่าแต่น้องถูกปฏิเสธแค่ประเด็น GTE แปลว่าอิมมิเกรชั่นต้องโอเคกับประเด็นติดบาร์ 3 ปีแล้วสิ ไม่จริง .... อิมมิเกรชั่นแค่ดึงมาประเด็นเดียวก็ปฏิเสธได้แล้ว จะเขียนอะไรเยอะแยะ .... แต่ไม่ได้แปลว่ายื่นใบสมัครรอบหน้าจะไม่เอามาทุกประเด็นมาพิจารณา แปลว่าต้องกังวลทั้ง 2 ประเด็น !!!! .... อ้อ อย่าลืมว่านอกจากมีประวัติอยู่ออสเตรเลียแบบไม่มีวีซ่า ตอนนี้มีประวัติถูกปฏิเสธวีซ่าเพิ่มเข้ามาด้วย .... ยากสิ .... But it is what it is, you can't change the past. คนเขียน: .... [ช่วยคิดอย่างเต็มที่] .... ไม่อยากลองเสี่ยงยื่นใหม่ ก็ลองคุยกับโรงเรียนไหม เหลืออยู่ 1 วิชา ขอเรียนออนไลน์ได้ไหม และก็ให้เพื่อนช่วยแพ๊คของส่งกลับ บอกเลิกการเช่าจะได้ไม่ต้องเสียตังค์ไปเรื่อยๆ ??? ลูกความ: แต่หนูอยากกลับไปออสเตรเลีย !!! คนเขียน: โอเค ชัดเจน .... อยากกลับ ก็ต้องลองยื่นใหม่ไง .... อ้อ .... อย่าลืมขอ CoE ด้วยนะ (อีก 1 ปัญหา โรงเรียนไม่อยากออก CoE ให้ เนื่องจากน้องถูกปฏิเสธวีซ่ามาแล้วรอบนึง) วันถัดมา .... น้องอีเมล์มาบอกว่า .... โรงเรียนให้น้องจบ !!!! อ้าว .... เรียนจบ ก็ขอวีซ่านักเรียนไม่ได้แล้วสิ .... แปลว่าที่คิดๆไว้ว่าจะทำเคสวีซ่านักเรียนนี้ยังไง ลบทิ้ง โจทย์ใหม่ .... ก็ต้องเริ่มคิดใหม่ ดูเอกสารกันใหม่ ทำ Research ใหม่ด้วย .... แล้วเราก็เห็นทางออก .... Subclass 485 Temporary Graduate visa นั่นเองค่ะ วีซ่า 485 โดยตัวกฏหมายปกติแล้วผู้สมัครหลัก (น้องลูกความ) จะต้องอยู่ที่ออสเตรเลียตอนยื่นใบสมัคร แต่คนทำงานด้านนี้เราต้องตามกฏหมายอย่างใกล้ชิด ซึ่งเรารู้ว่าช่วงโควิด รัฐบาลอนุญาตให้ยื่นวีซ่า 485 จากนอกออสเตรเลีย แต่ที่ต้องทำ research ใหม่หมด เพราะเคสน้องไม่ใช่เคสตรงไปตรงมา มีประเด็นให้น่ากังวลอยู่หลายประเด็น ทั้งประวัติวีซ่า และประวัติการศึกษาเลย แต่ต้องบอกว่าน้องมีโอกาสได้วีซ่า 485 นี้มากกว่าตอนที่คิดว่าจะต้องยื่นวีซ่านักเรียนแน่นอน คนเขียนบอกน้องว่า ไม่คิดนานนะคะ จะทำก็รีบๆทำ เพราะกฏหมายที่ออกมาช่วงโควิด ทยอยยกเลิกไปเยอะแล้ว คนเขียนเชื่อว่าเคส 485 แบบยื่นนอกออสเตรเลียจะหายไปเร็วๆนี้ .... น้องลุย คนเขียนก็ลุย และอย่างรวดเร็ว กลัวกฏหมายจะเปลี่ยนซะก่อน เคสนี้ คนเขียนเลือกที่จะไม่เปิดประเด็นเลยซักประเด็นเดียว แต่เลือกเอกสารอย่างระมัดระวัง และเราวางแผนไว้แล้วว่าถ้าอิมมิเกรชั่นยังมีคำถามเพิ่ม เราจะโต้เถียงยังไง และจะยื่นเอกสารอะไรเพิ่ม รอเรื่องอยู่ 2 เดือนกว่าๆ วีซ่าผ่าน ไม่มีคำถาม ไม่ขออะไรเพิ่ม .... เจอน้องกรี๊ดใส่ หูดับไป 2 วิ หลังจากที่น้องได้วีซ่าไม่กี่วัน กฏหมายเปลี่ยนจริงๆอย่างที่คาดไว้ .... กฏปัจจุบันผู้สมัครหลักวีซ่า 485 ยื่นได้ในออสเตรเลียเท่านั้น กฏหมายด้านอิมมิเกรชั่นเปลี่ยนตลอด .... ถ้าอยู่ออสเตรเลีย หรืออยากมาออสเตรเลีย ตามข่าวด้วย .... ถ้าไม่มั่นใจในความรู้ความสามารถของตัวเอง หา Professional มาช่วยเราค่ะ อย่าลืมว่าไม่มีใครรู้ทุกเรื่อง เก่งทุกเรื่อง Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com ► กฏเปลี่ยน 482 ที่จะปรับใช้วันที่ 25 November 2023 จริงๆ ก็คือกฏเก่าที่เคยใช้สมัยที่ยังเป็นวีซ่า 457 นั่นเอง ► กฏเปลี่ยนนี้ ให้ประโยชน์กับผู้สมัคร (นานๆ จะมีกฏเปลี่ยนแบบนี้ให้ชื่นใจซะที) ► นับจาก 25 November 2023 1. ถือ 482 แค่ 2 ปี ยื่นขอพีอาร์ 186 ได้ 2. ไม่สนใจว่าอาชีพตอนถือ 482 จะอยู่ใน MLTSSL STSOL หรือ Labour agreement 3. ไม่สนใจ Occupation list ... ไม่ต้องกังวลว่าอาชีพจะหายไปจากลิสหรือไม่ 4. 482 ในอาชีพ STSOL ขอต่อวีซ่ารอบที่ 3 ในออสเตรเลียได้ ► ขี้เกียจจำ ขี้เกียจทำความเข้าใจ จำข้อ 1. เป็นอันใช้ได้ ________________________________________ คนเขียนอ่านผ่านตาในเฟสบุค น้องมีปัญหากับเอเจนต์นักเรียน ..... ขอให้ข้อมูลไว้ตรงนี้ .... เชื่อว่าข้อมูลน่าจะเป็นประโยชน์กับน้องนักเรียนหลายๆคน ► มีปัญหากับโรงเรียน หรือกับเอเจนต์นักเรียน (Education Agent) ??? ..... ดีที่สุดคือพยายามคุยกัน และจบกันแบบดีๆ ► ตกลงกันไม่ได้ ?? รัฐบาลมีหน่วยงาน Commonwealth Ombudsman ไว้ให้ความช่วยเหลือ ► ลิงค์อาจจะเอ่ยถึงปัญหากับทางโรงเรียน แต่หน่วยงานนี้จริงๆแล้วรับพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างนักเรียน และเอเจนต์นักเรียน (Education Agent) ด้วย ► หน่วยงานนี้ไม่เข้าข้างนักเรียน หรือโรงเรียน หรือเอเจนต์ .... พูดง่ายๆ คือว่ากันตามเนื้อผ้า ก่อนจะยื่นเรื่องไปถึงหน่วยงาน คิดทบทวนก่อน รวมถึงตรวจสอบเอกสารที่มี นอกจากมองมุมของตัวเองแล้ว อย่าลืมมองมุมของอีกฝ่ายด้วย ถ้าตกลงกันไม่ได้ และคิดว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ลุยเลยค่ะ Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com "ธุรกิจตั้งใหม่" สำหรับอิมมิเกรชั่นคือ ธุรกิจที่เปิดดำเนินการมาไม่ถึง 1 ปี เคสธุรกิจตั้งใหม่ ที่คนเขียนเพิ่งทำจบไปเร็วๆนี้ คนเขียนกำลังจะยื่นใบสมัครอยู่วันพรุ่งนี้แล้ว น้องลูกความบอกว่าแอบกังวลมากกลัวไม่ผ่าน เคยได้ยินมาว่าธุรกิจต้องดำเนินการมาแล้ว 6 เดือนขึ้นไป แต่เคสของน้องยังดำเนินการมาไม่ถึง 6 เดือน นึกในใจ ...... อ้าว ? ... กังวล ? ... แล้วทำไมไม่คุยกับคนเขียนก่อนหน้านี้ จะก่อนเซ็นสัญญาทำงาน หรือระหว่างทำเคสก็ยังดี มาบอกเอาวันนี้ แล้วพรุ่งนี้จะยื่นใบสมัครเนี่ยะนะ ?? ... แล้วก็จะปล่อยให้คนเขียนยื่นใบสมัคร ทั้งๆที่ตัวเองกังวลเนี่ยะนะ ??? โอ๊ยปวดหัว สิ่งที่พูดออกไป ...... ► ต้องดำเนินการมาแล้ว 6 เดือน ?? .... ไม่จริงค่ะ .... คนเขียนทำเคสที่ ..... ► ธุรกิจเปิดดำเนินการมาได้ 2 วัน ► ธุรกิจเปิดดำเนินการมาได้ 4 อาทิตย์ ► ธุรกิจที่เพิ่งซื้อขายเปลี่ยนเจ้าของกันเสร็จ (ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจตั้งใหม่เช่นกัน ... เคสนี้ไม่ใช่สปอนเซอร์ 482 ด้วย แต่สปอนเซอร์เป็นพีอาร์ 186 กันเลย) ► แต่ละเคส ขึ้นอยู่กับเอกสาร และข้อมูลที่จะนำเสนอค่ะ ► เคสน้อง คนเขียนไม่กังวล (แปลว่าน้องก็ไม่ต้องกังวล) .... เคสนี้ คนเขียนยื่นใบสมัครวันเสาร์ เราทราบผลวันพุธ (3 วันทำการ) สิ่งที่คนเขียนไม่ได้บอกน้องลูกความในวันนั้น ..... ► คนเขียนทำเคสที่ธุรกิจยังไม่ได้เปิดดำเนินการเลยด้วยซ้ำ เรายื่นขอเป็นสปอนเซอร์แล้ว ► ในขณะเดียวกัน คนเขียนก็มีเคสที่ธุรกิจเปิดมาเกินปี ซึ่งถือว่าไม่ใช่ธุรกิจตั้งใหม่แล้ว .... แต่คนเขียนแนะนำให้รอไปก่อน ยังไม่ยื่น เพราะดูภาพรวมแล้ว น่าจะไม่ผ่าน น้องที่เซ็นสัญญาการทำงานกับคนเขียนทุกคน 1. ถ้ากังวล .... ถาม .... และถามโดยเร็ว .... จะได้สบายใจโดยเร็ว .... หรือมีคนเขียนช่วยกังวลไปด้วยอีกคน .... หรือมีคนเขียนช่วยหาทางแก้ปัญหาโดยเร็ว 2. ถ้ากังวล แล้วเก็บไว้ในใจ แล้วคนเขียนจะรู้ไหม .... คนเขียนสามารถหลายอย่าง แต่อ่านใจไม่สามารถนะจ๊ะ 3. คนเขียนไม่สร้างโลกสวยให้ลูกความค่ะ คิดยังไง พูดอย่างงั้น .... ถ้าคิดว่าเคสจะไปไม่รอด จะบอกตั้งแต่ต้นเลยว่าไปไม่รอด .... ถ้าเสี่ยงมาก ก็บอกว่าเสี่ยงมาก .... ถ้าบอกว่าเคสนี้ คนเขียนไม่กังวล ก็แปลว่าไม่กังวล .... อย่างเดียวที่ไม่เคยบอกลูกความ คือเคสนี้ผ่านแน่ๆ .... จะบอกได้ยังไง ไม่ใช่คนตัดสินเคส Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com ▓ ย้ายที่อยู่ เปลี่ยนอีเมล์ ระหว่างรอผลวีซ่า ..... แจ้งอัพเดทข้อมูลกับอิมมิเกรชั่นด้วย ▓ ไม่ได้เปลี่ยนอีเมล์ ? ..... นอกจากเช็ค Inbox แล้ว ..... เช็ค Junk / Spam ด้วย ▓ 2 อาทิตย์ 4 เคส .... ติดต่อมาด้วยปัญหาเดียวกัน ถูกปฏิเสธวีซ่า แต่ทราบเมื่อเลยกำหนดการยื่นอุทธรณ์ไปแล้ว ◙ 1 x เปลี่ยนอีเมล์ แต่ไม่ได้แจ้งอัพเดทอิมมิเกรชั่น ◙ 2 x อีเมล์แจ้งปฏิเสธวีซ่าไปตกอยู่ใน Junk / Spam ◙ 1 x เอเจนต์แจ้งให้ทราบช้า ! ! ▓ ยื่นอุทธรณ์ไม่ทัน ปัญหาใหญ่ .... ถ้าไม่มีเหตุผลที่ดีมากๆและเข้าข้อกฏหมาย หน่วยงานอุทธรณ์ไม่รับพิจารณาเคส และทั้ง 3 เหตุผลที่ลิสไว้ ไม่ใช่เหตุผลที่ดี .... 3 ใน 4 เคสนี้ เป็นเคส PR ด้วย น่าเสียดายมากค่ะ บางเคสเราอาจจะมีทางทำอะไรได้ แต่ชีวิตไม่ง่ายแล้ว ▓ ช่วงนี้ Partner visa ถูกปฏิเสธกันเยอะ อย่าคิดว่า Stage 2 Partner visa ไม่ต้องใช้อะไรมาก ทำเคสแน่นๆไว้ก่อน จะได้ไม่มาเสียใจทีหลัง .... 2 ใน 4 เคสที่ยื่นไม่ทันนี่ก็ Stage 2 Partner visa ค่ะ ถูกปฏิเสธเพราะหลักฐานไม่แน่นพอ แล้วตอนนี้ก็ยื่นอุทธรณ์ไม่ทันอีก .... ปัญหาใหญ่ยังไง นอกจากยื่นอุทธรณ์ไม่ทัน ◙ ยื่นใหม่ในออสเตรเลีย ไม่ได้ ◙ ค่ายื่น $8000+ ◙ ถูกปฏิเสธเพราะไม่เชื่อเรื่องความสัมพันธ์ ไปรอลุ้นอยู่นอกประเทศว่าเคสยื่นใหม่อิมมิเกรชั่นจะเชื่อในความสัมพันธ์หรือไม่ .... ไม่มีวีซ่า ไม่ได้กลับมา ▓ ช่วงนี้อิมมิเกรชั่นเริ่มลงตรวจธุรกิจต่างๆเยอะขึ้น ตามนโยบายใหม่ของรัฐบาล ◙ นายจ้างที่สปอนเซอร์พนักงาน เก็บเอกสารที่ควรจะต้องมีให้เป็นระเบียบหาง่ายๆด้วย ◙ นายจ้างทั้งที่เป็นสปอนเซอร์และไม่ได้เป็น และลูกจ้างทั้งหลาย ทำอะไรไม่ถูกต้องอยู่ แก้ไขด้วย รอให้อิมมิเกรชั่นมาเจอ อาจจะไม่ใช่แค่การตักเตือน นายจ้างอาจจะต้องเสียค่าปรับ ติดบาร์ห้ามสปอนเซอร์ ลูกจ้างอาจจะถูกยกเลิกวีซ่า Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com ► ในอดีตไม่ว่าจะเป็นไมเกรชั่นเอเจนต์ (Registered Migration Agent) หรือทนายความ (Legal Practitioner) ก็จะต้องมีการขึ้นทะเบียนกับ Office of the Migration Agents Registration Authority (OMARA) และคนทั้ง 2 ประเภทก็จะต้องมีเลข Migration Agent Registration Number (MARN) ถึงจะให้คำแนะนำและการช่วยเหลือทางด้านวีซ่าและคนเข้าเมืองได้ ► ปัจจุบัน (2ปีกว่าแล้ว) กฏหมายแยกการขึ้นทะเบียนของไมเกรชั่นเอเจนต์ (Registered Migration Agent) และทนายความ (Legal Practitioner) อย่างชัดเจน ซึ่งก็ทำให้ตรวจสอบได้ง่ายขึ้นด้วยว่าคนที่ตัวเองใช้บริการเป็นเอเจนต์หรือเป็นทนายความ ► ไมเกรชั่นเอเจนต์ (Registered Migration Agent) จะต้องมีการขึ้นทะเบียนกับ OMARA และมีเลข MARN ... ตรวจสอบโดยการพิมพ์ชื่อ-นามสกุล ได้ที่ OMARA website ► ทนายความ (Legal Practitioner) ด้านอิมมิเกรชั่นจะต้องมีเลข Legal Practitioner Number (LPN) และมีการขึ้นทะเบียนกับสภาทนายความของรัฐที่ทนายความทำงานอยู่ .... ตรวจสอบโดยการพิมพ์ชื่อ-นามสกุล ได้ที่
► ถ้าไม่มีชื่อใน OMARA website ไม่ใช่เอเจนต์ ► ถ้าไม่มีชื่ออยู่ในสภาทนายความของรัฐใดรัฐหนึ่ง ไม่ใช่ทนายความ ► อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก Immigration website Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com มีน้องถามมาว่า คำแนะนำฟรี 5 นาที ยังมีอยู่หรือไม่ ตอบ: ข้างล่างเป็นโพสที่เคยลงไว้นานหลายปีแล้ว ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ░ ░ ░ ░ ░ ░ ░ ░ ░ ░ ปกติแล้วคนเขียนให้เวลา 5 นาที สำหรับน้องๆที่โทรมาถามคำถามนะคะ เงื่อนไขคือ 1. อะไรตอบได้ ตอบให้เลย 2. ถ้าตอบไม่ได้ เช่น * เป็นเคสที่ต้องดูเอกสาร * ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม * เป็นเคสที่ไม่มีข้อมูลอยู่ในหัว (ใช่ค่ะ คนนะคะไม่ใช่คอมพิวเตอร์ ไม่สามารถจำทุกอย่างได้ และ กฏหมายก็ เปลี่ยนกันอยู่ตลอด ถ้าไม่แน่ใจว่าจะให้คำตอบที่ถูกต้อง คนเขียนไม่ตอบนะคะ) * เคสที่ต้องซักถามและอธิบายกันนานเกิน 5 นาที เคสประมาณนี้ต้องนัดเวลารับคำปรึกษากันเป็นเรื่องเป็นราวนะคะ ซึ่งก็จะมีค่าบริการตามความยากง่าย ความด่วนไม่ด่วนของแต่ละเคส 3. เวลาคนเขียนรับโทรศัพท์ ก็ไม่ได้พูดภาษาไทยนะคะ เพราะคนที่โทรมาอาจจะไม่ใช่คนไทย บางครั้งเป็น อิมมิเกรชั่น หน่วยงานอุทธรณ์ หน่วยงานอื่น หรือลูกความที่ไม่ใช่คนไทย ถ้าคนเขียนจับสำเนียงได้ว่าเป็นคนไทย ก็จะรีบพูดไทยด้วย เพราะฉะนั้นไม่ต้องตกใจจนรีบวาง (ต้องบอก เพราะคนเขียนเจอวางหูใส่อยู่บ่อยๆ ตกใจเพราะเจอ Hello เป็นภาษาอังกฤษ พอรวบรวมกำลังใจได้ ก็โทรมาใหม่ แล้วเราถึงได้คุยกัน) 4. เวลา 5 นาที ไม่เยอะ แต่ก็ไม่น้อยค่ะ คนเขียนรับโทรศัพท์วันละหลายสาย ถ้าให้เวลามากกว่าคนละ 5 นาที (ซึ่งหลายๆครั้งก็เลย) คนเขียนก็จะไม่เหลือเวลาทำงานให้ลูกความ และด้วยความที่ทำงานด้านนี้มานาน คุยกันไม่กี่คำก็ทราบแล้วว่าสามารถตอบได้เลย หรือเป็นเคสที่ต้องดูเอกสารหรือต้องคุยต้องอธิบายกันนาน * คำตอบแค่ทำได้ กับทำไม่ได้ บางครั้งก็มีประโยชน์ บางครั้งก็ไม่ได้ช่วยอะไร * บางทีการตอบสั้นๆว่าทำได้ เป็นการให้ความหวังแบบผิดๆ เพราะเมื่อพิจารณาข้อมูลอื่นที่ก็สำคัญกับการ พิจารณาวีซ่าแล้ว คำตอบว่าทำได้ อาจจะไม่ถูกต้อง * บางทีคำตอบว่าทำไม่ได้ ก็ไม่ถูก เพราะถ้าถามเจาะมาคำถามเดียว อาจจะตอบว่าทำไม่ได้ แต่พอได้ข้อมูล ลึกขึ้น เราอาจจะเจอข้อยกเว้นที่ทำให้ทำเคสได้ 5. จะใช้เวลา 5 นาทีให้เป็นประโยชน์ได้ยังไง ก็ควรจะเรียบเรียงคำถามก่อนโทรมา กระชับ ได้ใจความ ไม่ต้องประหม่า คนเขียนก็คนไทยพูดไทยและชอบกินตำปูปลาร้าเหมือนหลายๆคน ไม่ต้องอารัมภบทเยอะ (ไม่ต้อง Hello กันไปมา ไม่ได้คุยกันซะที ไม่ต้องอ้อมโลก สวัสดีตามมารยาทที่ดีของคนไทยแล้วเข้าประเด็นได้เลย) 6. ขอแค่ไม่หยาบคายคนเขียนยินดีคุยด้วย (ถ้ายุ่งมาก อาจจะขอให้โทรมาใหม่) 7. เสียงดุ???? ทำใจค่ะ เสียงเป็นอย่างงี้เอง 8. รบกวนโทรในเวลาทำงาน จันทร์ - ศุกร์ 9 ถึง 5 ป.ล. น้องๆที่ชอบโทรวันหยุด โทรดึกๆ ไม่รับก็โทรเป็นสิบๆหนจนกว่าจะรับนี่ บอกเลยว่าไม่สำเร็จนะคะ นอกจากไม่รับแล้ว คนเขียนอาจจะบล๊อคเบอร์ไปด้วยเลย Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com █ ถือ Bridging visa A ออกนอกออสเตรเลียไม่ได้ (จริงๆออกได้ - ออกเมื่อไหร่วีซ่าหาย - กลับเข้าออสเตรเลียไม่ได้) █ ยื่นขอ Bridging visa B (BVB) แล้วออกนอกออสเตรเลียเลยไม่ได้ .... ต้องรอวีซ่าออกก่อนแล้วค่อยเดินทาง █ ระยะเวลารอ Bridging visa B (BVB) มีตั้งแต่ 1 วัน ถึงเป็นเดือน เพราะฉะนั้นเผื่อเวลาด้วย █ ธุรกิจตั้งใหม่ก็สปอนเซอร์พนักงานได้ █ ไม่ว่าเป็นธุรกิจแบบเจ้าของคนเดียว ห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือ Trust/Trustee ก็สปอนเซอร์พนักงานได้ █ ยื่นขอวีซ่าจากไทย เช่นวีซ่าท่องเที่ยว วีซ่านักเรียน แล้วถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลทั่วๆไป เช่นไม่เชื่อว่าจะมาเที่ยวจริง จะมาเป็นนักเรียนจริง หรือส่งเอกสารไม่ครบ จะยื่นใหม่กี่รอบก็ได้ จะยื่นใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ควรยื่นเมื่อมีเอกสารที่ดีกว่าเดิม และตอบโจทย์ประเด็นที่ถูกปฏิเสธ █ ถูกปฏิเสธวีซ่าด้วย Public Interest Criterion (PIC) 4020 เพราะมีการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง - ติดบาร์ 3 ปี - โอกาสขอวีซ่าใหม่แล้วผ่าน .... ยากมาก █ คนที่เคยถูกยกเลิกวีซ่า (ส่วนใหญ่) ติดบาร์ 3 ปี █ เคยอยู่เกินวีซ่า ไม่ได้แปลว่าจะต้องติดบาร์ 3 ปีเสมอไป █ ได้รับแจ้งว่าวีซ่าออกแล้ว ป้องกันการถูกหลอกด้วยการขอจดหมายแจ้ง (Visa grant letter) และเช็คสถานะวีซ่าได้ด้วยตัวเอง ผ่านระบบของอิมมิเกรชั่นที่ VEVO █ ถูกปฏิเสธวีซ่าในออสเตรเลีย ไม่ได้ติด Section 48 บาร์กันทุกคน - บางคนไม่ติด - บางคนติด แต่ก็ยังยื่นวีซ่าบางประเภทได้ Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com วันนี้คนเขียนมาแชร์ประสบการณ์ เกี่ยวกับวีซ่าแบบมีนายจ้างสปอนเซอร์ เช่น 457 482 494 186 และ 187 Q: 187 ??? - วีซ่าตัวนี้ไม่มีแล้วไม่ใช่เหรอ A: ยังทำได้ สำหรับคนกลุ่มเล็กๆที่ถือวีซ่า 457 หรือ 482 ประวัตินายจ้างสำคัญไหม - สำคัญมากค่ะ ไม่ว่าจะก่อนยื่น หรือหลังจากลูกจ้างได้วีซ่าแล้ว ถ้าอนาคตจะมีการสปอนเซอร์คนอื่นต่อ หรือจะมีการสปอนเซอร์ลูกจ้างที่ถือ Temporary visa เพื่อต่อยอดไปเป็นพีอาร์ เคสที่คนเขียนจะแชร์วันนี้เป็นเคสที่นายจ้างถูกอิมมิเกรชั่นลงตรวจหลังจากที่มีการสปอนเซอร์ลูกจ้างไปแล้ว 2 คน (ไม่ได้แปลว่าถ้าสปอนเซอร์แค่คนเดียวจะไม่ถูกลงตรวจ อยู่ที่นายจ้างไหนจะเจอแจ๊คพอต) .... เกิดอะไรขึ้น 1. อิมมิเกรชั่นเจอว่านายจ้างมีการแต่งตั้ง Director ใหม่ แล้วไม่ได้แจ้งให้อิมมิเกรชั่นทราบภายในเวลาที่กฏหมายกำหนด Q: มีต้องแจ้งด้วยเหรอ A: มีค่ะ ต้องแจ้งภายใน 28 วัน ... จริงๆ นายจ้างมีหน้าที่อย่างอื่นอีกหลายอย่าง 2. อิมมิเกรชั่นสัมภาษณ์พนักงานในร้าน รวมถึงลูกจ้างที่ได้รับการสปอนเซอร์ แล้วพบว่าลูกจ้างทำงานนอกเหนือหน้าที่ที่ได้รับการสปอนเซอร์ ..... [เช่น จ้างมาเป็น Backpacker Manager แต่มาช่วยทำความสะอาดห้องพัก ช่วยเก็บขยะ หรือจ้างมาเป็นพนักงานนวด เป็น Chef หรือ Cook แต่มาช่วยทำบัญชีร้าน] ..... น้องๆที่คิดว่าเราทำได้หลายอย่าง เราทำเกินหน้าที่ ดูดีมากๆเลย ...... ขอบอกว่าไม่จริง เคสนี้นายจ้าง 1) ถูกปรับ และ 2) ถูกห้ามสปอนเซอร์พนักงานเพิ่ม นายจ้างและลูกจ้าง1 ยื่นขอพีอาร์วีซ่า 186 คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะไม่ได้สปอนเซอร์พนักงานเพิ่ม แต่เป็นการสปอนเซอร์พนักงานเดิมเพื่อเป็นพีอาร์ .... เกิดอะไรขึ้น ???? นายจ้างถูกปฏิเสธ 186 Nomination เพราะประวัติที่ถูกลงตรวจและถูกลงโทษจากอิมมิเกรชั่น ...... แปลว่าวีซ่า 186 ของลูกจ้างก็ถูกปฏิเสธไปด้วย ลูกจ้าง1 ติดต่อนัดปรึกษากับคนเขียน ถามว่าทำยังไงดี .... คนเขียนก็แนะนำทั้งส่วนการยื่นอุทธรณ์และการยื่นใบสมัครใหม่ไปที่อิมมิเกรชั่น พร้อมกับแจ้งว่าตัดสินใจโดยเร็ว อุทธรณ์มีระยะเวลาจำกัด และน่าจะมีกฏหมายเปลี่ยนเร็วๆนี้ ซึ่งจะกระทบกับเคส หากต้องการจะยื่นใหม่ ลูกจ้าง2 ซึ่งทำงานครบตามที่กฏหมายกำหนด และพร้อมจะยื่นวีซ่าพีอาร์ 186 ..... เมื่อเห็น Nomination & 186 visa applications ของเพื่อนถูกปฏิเสธเพราะนายจ้างมีประวัติถูกอิมมิเกรชั่นลงโทษ ก็เริ่มกังวลบ้าง เพราะตัวเองก็จะต้องใช้นายจ้างคนเดียวกัน .... ขอนัดปรึกษากับคนเขียนบ้าง ซึ่งได้รับคำแนะนำว่า 1. ก็ควรกังวลจริงๆแหละ เพราะแนวทางที่อิมมิเกรชั่นจะพิจารณาเคสของเพื่อนกับของน้องลูกจ้าง2 ก็ไม่ต่างกัน ประวัตินายจ้างมีผลกระทบกับเคสแน่ๆ 2. แต่ ..... เคสเพื่อนที่ถูกปฏิเสธ (ซึ่งคนเขียนไม่ได้เป็นคนทำเคส) จากที่อ่านคำตัดสิน อ่านเอกสารอื่น และซักถามเพิ่มเติม คนเขียนเชื่อว่ามีข้อโต้เถียงบางอย่างที่น่าจะช่วยเคส แต่เคสเพื่อนไม่ได้เอามาใช้ .... สรุปสั้นๆ คือถ้าคนเขียนเป็นคนทำเคส ก็จะเอาข้อโต้เถียงที่ว่ามาใช้ .... ตอบไม่ได้หรอกว่าเคสจะรอดหรือไม่ ... ไม่ลองไม่รู้ 3. ถ้าไม่ต้องการเสี่ยงกับนายจ้างนี้ ก็ ....เริ่มใหม่ .... หานายจ้างใหม่ เสียเงินทำ sponsorship & visa กันใหม่ ถ้านายจ้างใหม่ยอมทำ 186 Direct Entry ให้เลย ก็โชคดีไป ถ้าไม่ยอม ก็ทำงานใน Temporary visa ไป จนกว่านายจ้างจะยอมสปอนเซอร์เป็นพีอาร์ น้องใช้เวลาคิดอยู่ 1 วัน ก่อนจะติดต่อกลับมาให้คนเขียนทำเคสให้ ใช้นายจ้างเดิม .... เสี่ยงเป็นเสี่ยง เกิดอะไรขึ้นกับเคสลูกจ้าง2 .... คนเขียนทำสรุปประเด็นข้อกฏหมาย และโน้มน้าวอิมมิเกรชั่นว่าทำไมควรจะให้เคสนี้ผ่าน รวมถึงเหตุผลที่เคสลูกจ้าง1 ไม่ได้นำมาใช้ แต่คนเขียนคิดว่าสำคัญมากและควรนำมาใช้ (คนเขียนพูดเสมอว่าทนายความและเอเจนต์แต่ละคน มีวิธีการเก็บรายละเอียด มุมมองและแนวทางการทำเคส แตกต่างกันไป .... Strategy การทำเคสของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน) ..... เคสนี้ คนเขียนเลือกที่จะเปิดประเด็นเลย ไม่รออิมมิเกรชั่นถาม ผ่านไหม ..... ผ่านสิ .... ประเด็นนายจ้างมีประวัติ จบด้วยจดหมายฉบับเดียวที่คนเขียนทำสรุปเข้าไปนั่นแหละ (แต่อย่าคิดว่าจดหมายฉบับเดียว ใช้เวลานิดเดียวนะคะ กว่าจดหมายจะคลอด ใช้เวลาอ่านเอกสารเดิม เอกสารใหม่ และทำ Research เป็นร้อยหน้า) ย้อนกลับมาที่ลูกจ้าง1 ...... น้องหายไป 3 - 4 เดือน จนในที่สุดกฏเปลี่ยนก็ประกาศออกมา มีเวลา 2 อาทิตย์ก่อนกฏหมายใหม่จะปรับใช้ .... น้องติดต่อมาหาคนเขียน จะให้ทำเคสให้ ยินดีชำระค่าบริการเพิ่มสำหรับเคสด่วน .... ไม่ทันแล้วค่ะ Q: ทำไมถึงช่วยไม่ได้ 2 อาทิตย์ไม่พอเหรอ A: 2 อาทิตย์พอค่ะ ถ้าสามารถทุ่มเวลาให้กับเคสน้องเคสเดียว .... แต่ความจริง ไม่ได้เป็นแบบนั้น ทุกคนที่เซ็นสัญญาการทำงานกับคนเขียน ก็อยากให้เคสของตัวเองออกมาดีๆกันทั้งนั้น เมื่อรับงาน คนเขียนจะมีตารางการทำงานของแต่ละเคสชัดเจน ถ้ารับงานเพิ่มแล้วจะกระทบเคสของน้องๆที่เซ็นสัญญาการทำงานกับคนเขียนไว้ก่อนแล้ว ต่อให้อยากรับ ก็รับไม่ได้ เคสนายจ้างมีประวัติ ระวังให้มาก โอกาสเคสผ่านก็มี โอกาสเคสไม่ผ่านก็สูง และไม่ต้องมานัวๆคิดว่าอิมมิเกรชั่นอาจจะไม่เอาประวัตินายจ้างมาพิจารณา ..... เพราะอยู่ในลิสที่ต้องพิจารณา ยังไงก็ต้องพิจารณา อยู่ที่ว่าเราจะหาเหตุผลอะไร มาช่วยเคสเท่านั้นเอง และจากตัวอย่างเคสนี้ อยากจะบอกว่านายจ้างมีประวัติคนเดียวกัน Nomination เคสนึงถูกปฏิเสธ ไม่ได้แปลว่า Nomination อีกเคสจะต้องถูกปฏิเสธด้วย ถ้าเริ่มต้นการทำเคสด้วยความระมัดระวัง และคิดรอบด้าน โอกาสที่จะผ่านก็มี ย้อนกลับมาที่นายจ้าง ตอนถูกอิมมิเกรชั่นลงตรวจ ..... อิมมิเกรชั่นไม่ใช่ว่าพอเจออะไรไม่ถูกต้อง ก็จะหลับหูหลับตาลงโทษเลยนะคะ .... ให้โอกาสตอบว่าทำไมไม่ควรถูกลงโทษ ให้โอกาสเราโน้วน้าวว่าทำไมควรผ่อนโทษหนักให้เป็นเบา .... ขึ้นอยู่กับเรา นายจ้าง และ/หรือทนายความ เอเจนต์แล้วค่ะว่าจะทำเคสยังไง Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com วันนี้คนเขียนมาแชร์ประสบการณ์เคสวีซ่า 482 ที่น้องลูกความกังวลเรื่องประสบการณ์ และเรื่องการพ่วงแฟนในใบสมัครเดียวกัน
เคสนี้ น้องนัดปรึกษากับคนเขียนมา 2 รอบในเรื่องของตัวเอง และ 1 รอบในเรื่องของแฟน ก่อนที่จะตัดสินใจลุยงานกัน น้องมีนายจ้างที่ต้องการสปอนเซอร์ แต่น้องมีประสบการณ์ไม่ถึง 2 ปีตามนโยบายของอิมมิเกรชั่น และน้องไม่มีวุฒิการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสายงาน ดูเผินๆเหมือนไม่น่าจะทำได้ น้องไปหาคำปรึกษาจากหลายที่ ได้รับคำแนะนำว่าประสบการณ์ยังไม่ถึงบ้าง ทำไม่ได้บ้าง มาถึงคนเขียน น้องได้รับคำแนะนำให้ 1. สะสมประสบการณ์เพิ่ม คือรอไปก่อน หรือ 2. ใช้ประสบการณ์ที่มีเทียบวุฒิการศึกษา ซึ่งน่าจะช่วยให้น้องยื่น 482 ได้เร็วขึ้น น้องเลือกที่จะเทียบวุฒิการศึกษา และยื่น 482 เลย ก่อนวีซ่าตัวปัจจุบันจะหมด คนเขียนถือว่าเป็นเคสมีความเสี่ยง (แต่คนเขียนไม่กังวลเท่าไหร่ เพราะทำเคสประสบการณ์ไม่ตรง ประสบการณ์ไม่ถึงตามนโยบายของอิมมิเกรชั่นมาก็หลายเคส แต่ทำเคสคนอื่นผ่าน ไม่ได้แปลว่าเคสน้องจะต้องผ่านด้วย โดยสรุปคือจากประสบการณ์และเนื้อหาเคสน้อง คนเขียนว่าน่าจะรอด แต่จะมาให้ความหวัง 100% คงไม่ได้ 1. ไม่ใช่คนตัดสินเคส และ 2. เราไม่หลอกกัน เสี่ยงก็คือเสี่ยง ถ้าอยากจะยื่นเร็วต้องยอมรับสภาพ ถ้าไม่อย่างเสี่ยงก็ทำงานเก็บประสบการณ์ต่อไป) ปัญหาที่คนเขียนกังวลมากกว่าเรื่องประสบการณ์ของน้อง คือการพ่วงแฟนน้อง น้องเป็นคู่เหมือน ไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้จดทะเบียนความสัมพันธ์ (และไม่ใช่ทุกรัฐที่รับจดทะเบียนความสัมพันธ์) แฟนน้องเคยอยู่ออสเตรเลียด้วยกัน แต่ตอนนี้ติดอยู่นอกออสเตรเลีย แยกกันอยู่มาเกือบปี พยายามจะกลับเข้ามา แต่มาไม่ได้ ถูกปฏิเสธวีซ่ามาแล้ว 2 รอบ เอกสารหลักฐานความสัมพันธ์มีไม่เยอะ ไม่มี Joint อะไรซักอย่าง ไม่ว่าจะ Joint lease, Joint bank account หรือ Joint bill เรื่องของเรื่องคือต้องคิดว่าจะทำยังไงให้อิมมิเกรชั่นเชื่อว่าสองคนนี้เป็นแฟนกันฉันท์ De facto จริง ไม่ใช่แค่เพื่อนกัน อิมมิเกรชั่นขอเอกสารเพิ่มในเรื่องของความสัมพันธ์ (น้องยังมีถามอีกว่าไม่ขออะไรเพิ่มเรื่องประสบการณ์หรือคะพี่ คือยังกังวลไม่เลิก แต่ไม่มีค่ะ อิมมิเกรชั่น Happy กับเอกสารและการสรุปประเด็นกฏหมายที่คนเขียนทำขึ้นมาเพื่อช่วยน้อง) เอกสารความสัมพันธ์เพิ่มเติม เป็นอะไรที่ต้องคิดเยอะมาก เพราะจริงๆคือเอกสารที่เป็นชิ้นเป็นอันยื่นไปหมดแล้ว ต้องเป็นการทำคำอธิบายแล้ว ณ จุดนี้ .... แต่ทั้งน้องและแฟนเขียนได้ .... ไม่โอเคเลย ..... คือ ... ให้รายละเอียดความสัมพันธ์ไม่พอนะคะ ต้องให้แบบตอบโจทย์ด้วย (การตอบโจทย์ในที่นี้ คือ จะให้รายละเอียดความสัมพันธ์ยังไง ให้อิมมิเกรชั่นสามารถเอาข้อกฏหมายมาปรับเทียบได้ง่ายๆ ว่าควรจะเชื่อดีไหมว่าสองคนนี้มี De facto relationship ต่อกันจริง) หลายคนคิดว่าการทำงานของทนายความ เอเจนต์ ไม่เห็นมีอะไร แค่ส่งต่อเอกสารให้อิมมิเกรชั่น .... คนที่ทำแบบนั้นคงมีจริง แต่คนเขียนบอกเลยว่าทนายความและเอเจนต์ที่ทำงานจริงๆ เนื้องานไม่ใช่การส่งต่อเอกสารเลยค่ะ เนื้องานคือการพิจารณาเอกสารและข้อมูลที่ลูกความให้มา จากนั้นก็คิดว่าจะทำยังไงให้เอกสารและเนื้อหาของเคสเข้าข้อกฏหมายมากที่สุด เพิ่มโอกาสให้ลูกความได้วีซ่ามากที่สุด เคสนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงที่อิมมิเกรชั่นขอเอกสารเพิ่ม ใช้เวลา 5 อาทิตย์ สรุปว่าประสบการณ์ของน้องโอเค และอิมมิเกรชั่นเชื่อในความสัมพันธ์ของน้องและแฟน ในที่สุดสองคนนี้ก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันตามเดิม ~The End~ ป.ล. ไม่รับปากว่าเคสจะต้องผ่าน ไม่ได้แปลว่าจะไม่ทำเต็มที่นะคะ Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com วันนี้คนเขียนมาแชร์ประสบการณ์เคสที่มาหาคนเขียนระหว่างทาง ... น้องยื่นใบสมัครวีซ่าไปแล้ว ... โดยเอเจนต์ที่ให้คำแนะนำ ช่วยกรอก ช่วยยื่น แต่ไม่ยอมใส่ชื่อตัวเองในฐานะเอเจนต์ (Representative) ในใบสมัคร .... คือเสมือนน้องยื่นเอง ไม่มีคนช่วย
ถ้าใครเจอเอเจนต์แบบนี้ ... อาจจะเป็นเพราะ ... 1. ไม่ใช่เอเจนต์ หรือทนายความ ไม่มีใบอนุญาตสำหรับการให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือด้านวีซ่า 2. เป็นเอเจนต์ หรือเป็นทนายความ แต่เคสความเสี่ยงสูง ไม่อยากเสียประวัติ ถ้าทำเคสแล้วไม่ผ่าน หรือเป็นเคสที่ไม่มีหวังเลย แต่ไม่บอกลูกความตามตรง หรือตั้งใจทำเคสแบบหมกเม็ด dodgy 3. โอเค มองโลกในแง่ดีขึ้นมาอีกนิด ...?? คนเขียนคิดไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรดีๆมั่ง ... น้องก็ถามเอเจนต์ไปเลยว่าทำไมถึงจะช่วยอยู่แค่เบื้องหลัง ทำไมไม่ลงชื่อเป็นเอเจนต์ในระบบอย่างที่ควรจะเป็น น้องบางคน (รวมถึงลูกความเคสนี้) ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าใบสมัครของน้อง ไม่มี Representative on the record น้องบางคน รู้ทั้งรู้ว่าเอเจนต์ (หรือไม่เอเจนต์) ช่วยอยู่แค่เบื้องหลัง แต่ก็ยอมใช้บริการ .... ทำไม ??? .... จะเสียเงินทั้งที ทำไมไม่หาคนที่เค้าทำงานจริงๆ กล้าทำ กล้ารับ กล้าที่จะเอาชื่อตัวเองมาแปะในใบสมัครบอกอิมมิเกรชั่นว่าชั้นนี่แหละเป็นคนดูแลลูกความเคสนี้ .... ทำไมถึงยอมใช้บริการคนที่ไม่กล้าออกตัว .... แล้วน้องเชื่อได้ยังไงว่าเค้าจะทำงานอย่างเต็มที่ เคสที่ไม่ใช่เอเจนต์จริง หรือเอเจนต์จริงแต่ไม่ใส่ชื่อเป็นเอเจนต์ในใบสมัคร คงไม่ใช่ปัญหาถ้าเคสจบไปได้แบบสวยๆ .... จะเป็นปัญหาก็ตอนที่เคสไปได้ไม่สวย อิมมิเกรชั่นขอเอกสารเพิ่ม หรือมีการให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง เกิดอะไรขึ้น ? ... น้องโดนลอยแพ เราจะทราบได้ยังไงว่าเราเสียเงินใช้บริการเอเจนต์แล้ว เค้าจะเป็นเอเจนต์ให้เราจริง 1. มีการเซ็นฟอร์ม 956 แต่งตั้งเอเจนต์ ..... เอเจนต์จะมี Migration Agent Registration Number: MARN .... ทนายความจะมี Legal Practitioner Number: LPN .... ทั้ง MARN และ LPN เป็นเลข 7 ตัวค่ะ 2. มีชื่อเอเจนต์อยู่ในใบสมัครวีซ่าที่เรายื่นให้กับอิมมิเกรชั่น 3. มีอีเมล์ของเอเจนต์ในใบสมัครวีซ่า สำหรับติดต่อกับอิมมิเกรชั่น (ไม่ใช่อีเมล์ของน้องเอง หรืออีเมล์ที่สร้างมาใหม่เพื่อเคสน้องโดยเฉพาะ) มาเข้าเรื่องเคสที่คนเขียนจะแชร์ในวันนี้กันดีกว่า Character คืออะไร .... คือประวัติของเรานั่นเองค่ะ ว่าเราเป็นคนดีของสังคมไหม ... ถ้าออกวีซ่าให้ จะมีโอกาสทำความเดือดร้อนให้สังคมไหม .... เคสที่อาจจะเจอปัญหา Character ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเคสที่มีประวัติคดีอาญา หรือประวัติวีซ่าอันโชกโชน ใครที่มีประวัติคดีอาญา ไม่ว่าจะถูกโทษปรับ ภาคทัณฑ์ รอลงอาญา จำคุก ก็ต้องมาพิจารณาก่อนการยื่นวีซ่าว่าคดีของเราจะมีผลกับวีซ่าไหม เราต้อง Declare (แจ้งอิมมิเกรชั่นไหม) เราควรจะทำยังไงให้ใบสมัครวีซ่ามีโอกาสผ่านมากที่สุด เคสนี้ น้องติดต่อมาหาคนเขียนหลังจากยื่นใบสมัครวีซ่าไปแล้ว และหลังจากอิมมิเกรชั่นส่งจดหมายให้เวลา 28 วัน (4 อาทิตย์) ให้น้องอธิบายเรื่องคดีอาญาที่เกิดขึ้น .... กว่าน้องจะมาถึงคนเขียน เราเหลือเวลา 21 วัน (3 อาทิตย์) เคสนี้ตัววีซ่าเองไม่ยาก ความยากอยู่ตรงประวัติคดีอาญานี่แหละ .... เหลือ 3 อาทิตย์ ปกติคนเขียนไม่รับเคสนะคะ โดยเฉพาะเคส Character ถ้าทำได้ไม่ดี เคสถูกปฏิเสธกันได้ง่ายๆเลย (ความเครียดสูง ความกดดันสูง มีเวลานิดเดียว) .... แต่ .... บางทีก็มีโมเมนต์ใจอ่อน .... รับเคสมา แล้วก็มาสงสารตัวเองที่ต้องทำงานดึกๆ ทำงานเสาร์อาทิตย์ ... ทำไมใจอ่อนกับเคสนี้ .... น้องมีเอเจนต์ที่ไม่ใช่เอเจนต์ช่วยยื่นวีซ่าให้ เจ้าตัวไม่รู้เรื่อง คิดว่าตัวเองมีเอเจนต์ดูแล ... ตอนนัดปรึกษา คนเขียนแจ้งให้น้องทราบว่า ในใบสมัครไม่มีชื่อเอเจนต์ดูแลเคสน้อง เสมือนน้องยื่นเคสเอง .... น้องก็เหวอไป ... ขนาดเคสขับรถเร็ว เคสเมาแล้วขับ ยังมีคนถูกปฏิเสธวีซ่ามาแล้ว .... แต่เคสนี้ แฟนน้องซึ่งสมัครวีซ่าพร้อมกับน้อง มีเคสทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกาย ซึ่งเป็นเคสซีเรียสกว่า โอกาสเคสจะไม่รอดมีสูง ... คุณเอเจนต์ Declare ในใบสมัครก็จริง แต่ Declare แบบไม่ช่วยน้องเลย เคสดูแรงกว่าที่ควรจะเป็น ... น้องก็เหวอไปอีก แถมมีแนะนำแฟนน้อง (คนที่มีประวัติคดีอาญาว่าไม่ต้อง Declare ชื่อเดิม .... อย่างงี้ก็มีด้วย !!!) .... ชื่อเดิมไม่มีประวัติคดีอะไร แต่การไม่ Declare อาจจะกระทบกับประวัติ Character โดยรวมของน้องได้ .... เกิดอะไรขึ้นกับน้องและเอเจนต์ .... เอเจนต์แนะนำให้น้องไปหาทนาย ให้ทนายเขียนจดหมายว่าแฟนน้องเป็นคนดี มี Character ที่ดี และก็ยื่นจดหมายนี้เข้าไป และหลังจากนั้นก็โดนบอกปัด ... โดนลอยแพนั่นเอง คนเขียนบอกน้องว่าเคสยาก ความเสี่ยงสูง ถ้าคนเขียนจะใจอ่อนรับเคส น้องต้องเต็มที่นะ เพราะเวลาเหลืออยู่นิดเดียว .... เคสยากไม่กลัว กลัวลูกความยาก .... น้องสัญญาว่าจะทำเต็มที่ .... สุดท้ายก็ใจอ่อน รับเคสด่วนมาจนได้ คนเขียนทำอะไรกับเคสนี้บ้าง .... 1. แจ้งอิมมิเกรชั่นว่าคนเขียนดูแลเคสน้อง .... เป็น Representative on the record ให้เคสน้อง .... นับจากนี้ไปอิมมิเกรชั่นติดต่อคนเขียน ไม่ใช่ติดต่อน้องโดยตรง .... ส่วนน้องมีหน้าที่ไม่ไปยุ่งอะไรกับใบสมัครของตัวเอง ไม่ยื่นเอกสารอะไรเอง ทุกอย่างผ่านคนเขียน (เราดูแลเคสกันจริงๆค่ะ ไม่มีดูแลครึ่งๆกลางๆ) 2. แจ้ง Declare ชื่อเดิมให้แฟนน้อง .... อุ๊ย Declare กลางทางได้ด้วยเหรอ .... ได้สิ อะไรควรทำ ก็รีบๆทำ ยิ่งรู้ว่าทำผิด ยิ่งต้องรีบแก้ไข .... แจ้งให้อิมมิเกรชั่นทราบเอง ดีกว่าถูกจับได้เป็นไหนๆ 3. เตรียมงาน คิดว่าเอกสารประเภทไหน เอกสารอะไรที่จะช่วยเคสนี้ ร่างเอกสารสำหรับแก้ปัญหาเรื่องคดีอาญาให้แฟนน้อง ... เอกสารหลายชิ้น คนเขียนสัมภาษณ์เก็บข้อมูลจากน้อง และช่วยร่างให้ ไม่งั้นเดี๋ยวน้องเก็บข้อมูลสำคัญไม่หมด เรื่องของเรื่องคือน้องไม่รู้หรอกว่าอะไรสำคัญ หรือไม่สำคัญสำหรับเคส Character และเวลาเรามีนิดเดียว .... โน๊ตว่า ... เราไม่มีจดหมายจากทนายที่ระบุว่าแฟนน้องเป็นคนดี มี Character ที่ดี (ที่เอเจนต์เดิมแนะนำให้หามายื่น) .... ทำไมล่ะ .... หาไม่ได้เหรอ ??? .... ไม่ใช่ค่ะ .... คนเขียนไม่ขอ .... เพราะไม่คิดว่าเป็นเอกสารที่เหมาะสมสำหรับเคส Character และในความเป็นจริง จะมีกี่คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของคุณ ที่จะมาเขียนชื่นชมว่าคุณเป็นคนดี เคสนี้ รอนานเกือบปี .... รอดไหม .... รอด ไม่ให้ความหวังก็จริง .... แต่ถ้ารับเคส ก็คือทำเต็มที่นะคะ ความสำเร็จของแต่ละเคส ไม่ได้อยู่ที่คนเขียนคนเดียว ลูกความมีส่วนอย่างมากที่จะทำให้เคสไปรอดหรือไม่รอด .... เคสนี้น้องลูกความก็เต็มที่กับเคส .... ให้หาเอกสาร น้องหา .... ให้แก้เอกสาร น้องแก้ อย่างที่เกริ่นไป เคสยากไม่กลัว กลัวลูกความยาก ลูกความยากเป็นยังไง .... แนะนำอะไร ไม่ทำ .... ขออะไร ไม่ได้ .... ตามแล้ว ตามอีก .... หนักสุดคือ หายต๋อม ติดต่อไม่ได้ .... สั้นๆคือไม่ใส่ใจเคสตัวเองนั่นแหละ อย่าคิดว่าลูกความยากไม่มีอยู่จริง .... ตอนนี้คนเขียนมีน้องลูกความเคสอุทธรณ์อยู่เคสนึง เป็นทุกอย่างที่ลิสไว้เลย ... ทุกวันนี้ยังสงสัยว่าน้องเค้ามาใช้บริการคนเขียนทำไม ... แต่ยังไม่มีคำตอบ เพราะยังติดต่อน้องไม่ได้ (จะว่ามีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ก็ไม่ใช่ เพราะน้องชำระเต็มจำนวน) .... น้องคนอื่นเค้ามีปัญหาติดต่อเอเจนต์ฺ ติดต่อทนายไม่ได้ .... คนเขียนก็มีปัญหา ติดต่อลูกความไม่ได้ .... แอบบ่นผ่านโพส ตามหาลูกความหาย .... น้องรู้ว่าน้องคือใคร ติดต่อกลับมาเถอะ ตามจนเหนื่อยแล้ว ป.ล.1 ใครที่มีประวัติคดีอาญา เก็บเอกสารเกี่ยวกับคดีไว้ด้วยนะคะ เอกสารบางอย่างอาจจะช่วยเราในอนาคต ป.ล.2 เดี๋ยวนี้มิจฉาชีพเยอะ พวกแอบอ้างก็เยอะ .... น้องคนไหนที่คิดว่ามีคนเขียนเป็นคนดูแลเคส .... ถ้าน้องไม่เคยคุยกับคนเขียนเลย ไม่มีการเซ็นสัญญาทำงานกับคนเขียน น้องไม่ได้มีคนเขียนดูแลนะคะ ... คนเขียนไม่ทำงานผ่านคนกลาง ไม่ว่าจะใครก็แล้วแต่ ... ตลอดการทำงาน การคุยเคส ไม่ว่าจะโทรศัพท์ ไลน์ SMS อีเมล์ หรือการส่งเอกสาร ลูกความของคนเขียนทุกคนติดต่อคนเขียนโดยตรง และติดต่อได้ตลอด ... ถ้ามีใครบอกว่าคนเขียนเป็นทนายที่ดูแลเคสน้อง แต่น้องคุยงานผ่านคนอื่น ส่งเอกสารผ่านอีเมล์คนอื่น น้องถูกหลอกค่ะ Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com คนเขียนมีน้องโทรมาถามกันเป็นระยะๆ
พี่คะ แฟนหนูเคยสปอนเซอร์แฟนมาแล้ว 2 คน เค้าจะสปอนเซอร์หนูได้ไหมคะ พี่คะ แล้วถ้าหนูมีลูกด้วยกัน มันจะทำให้เคสง่ายขึ้นไหมคะ คำถามสั้น คำตอบไม่สั้น -- คนเขียนไม่ค่อยตอบว่าทำได้ หรือทำไม่ได้ บอกตามตรงว่าคำตอบแบบนี้ สำหรับคนเขียนรู้สึกว่าเป็นคำตอบไร้สาระ ตอบแบบไม่มีความรับผิดชอบ * ตอบว่าทำได้ ก็เป็นคำตอบให้ความหวัง แต่จริงๆอาจจะทำไม่ได้ * ตอบว่าทำไม่ได้ ก็เป็นคำตอบตัดความหวัง แต่จริงๆอาจจะทำได้ ก็ได้ กฏหมายคนเข้าเมืองอนุญาตให้สปอนเซอร์แฟนได้แค่ 2 คนค่ะ (Sponsorship limitation) ... ถ้าต้องการสปอนเซอร์แฟนคนที่ 3 ต้องโชว์เหตุผลน่าเห็นใจ แจกแจงไปว่าทำไมอิมมิเกรชั่นถึงควรจะอนุญาตให้สปอนเซอร์อีกได้ ซึ่งไม่ง่าย แต่ละเคสเราต้องดูเนื้อหา เข้าใจเคสในรายละเอียด บางเคสต้องคิดหลายวัน บางเคสคิดกันเป็นเดือน บางเคสคิดไปตลอดระยะเวลาการทำงาน เพราะเป็นเคสความเสี่ยงสูง ถ้าใครจับพลัดจับผลู ได้แฟนที่สปอนเซอร์ไปแล้ว 2 คน ทางเลือกของน้อง คือ 1. เลิก 2. เป็นแฟนกันไป แต่น้องหาวีซ่าอื่นยื่น ... ที่ไม่ใช่ Partner visa 3. ลุยไปข้างหน้ากับ Partner visa แต่เข้าใจว่าเคสไม่ง่าย เพราะต้องพิสูจน์เหตุผลน่าเห็นใจ สำหรับปีนี้ คนเขียนจบเคสสปอนเซอร์แฟนคนที่ 3 ไป 2 เคส เคสแรก เป็นคู่ต่าง (ชาย-หญิง) ไม่มีลูกด้วยกัน ----- ลูกความกลัวเคสยากไม่พอสำหรับคนเขียน ระหว่างรอเคส คุณสปอนเซอร์ก็ไปมีคดีอาญา ให้คนเขียนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพิ่มด้วย เคสที่สอง เป็นคู่เหมือน (ชาย-ชาย) ก็แน่นอน ไม่มีลูกด้วยกัน ----- เคสนี้ ระยะเวลาความสัมพันธ์ค่อนข้างสั้น และอิมมิเกรชั่นก็เรียกเคสเร็วกว่าที่คาดไว้ ... แผนงาน (Strategy) ที่วางไว้ เป็นอันต้องปรับใหม่หมด แก้ปัญหาเฉพาะหน้าอีกแล้ว ทั้งสองเคส ลูกความน่ารักมาก Proactive .... ขออะไร ได้ .... ให้ทำอะไร ทำ ทั้งสองเคส คนเขียนแจ้งค่าใช้จ่ายชั้นอุทธรณ์เผื่อไว้เลยตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน เพราะเป็นเคสความเสี่ยงสูง (ทำงานกับคนเขียน ไม่มีโลกสวยนะคะ) ทั้งสองเคส ได้เอาเงินเก็บที่เตรียมไว้สำหรับชั้นอุทธรณ์ไปทำอย่างอื่น เพราะเคสผ่านไปได้ด้วยดีที่ชั้นอิมมิเกรชั่น เคสแรก (ชาย-หญิง) ใช้เวลาเกือบ 3 ปี เคสที่สอง (ชาย-ชาย) ใช้เวลา 8 เดือน ลูก ..... ถ้าจะมีลูกเพราะอยากมี จัดไป .... ถ้าจะมีลูก เพราะคิดว่าจะช่วยเรื่องวีซ่า ขอร้องอย่าทำ 1. ไม่แฟร์กับเด็กที่จะให้เค้าเกิดมาด้วยเหตุผลแบบนี้ 2. ไม่มีลูกด้วยกัน เคสก็ผ่านได้ 3. มีลูกด้วยกัน ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้เคสง่ายขึ้นเสมอไป คนตัดสินเคสทั้งชั้นอิมมิเกรชั้น และชั้นอุทธรณ์ ก็คนเหมือนเราๆนี่แหละ ... บางคนก็มีความเห็นอกเห็นใจ ... บางคนก็ไม่สน ไม่แคร์ ... และถ้าเคสถูกปฏิเสธ นอกจากตัวเองจะเดือนร้อนแล้ว ยังเอาเด็กตัวเล็กๆที่ไม่รู้เรื่องอะไร มาเดือนร้อนไปด้วย ... และถ้าบังเอิญความสัมพันธ์ไปไม่รอดล่ะ ?? Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com คนเขียนเห็นหลายคนโพสหน้า Visa grant letter หน้า ImmiAccount นานๆทีเห็นมีลงหน้าบัตรประชาชน หน้าพาสปอร์ตกันด้วย บางคนปิดข้อมูลบางส่วน แต่ก็ปิดไม่หมด ระวังกันด้วยนะคะ เดี๋ยวนี้มิจฉาชีพเยอะ หรือน้องอาจจะมีเพื่อนผู้ไม่หวังดี มาช่วยทำชีวิตยุ่งเหยิง
ที่เขียนโพสนี้ เพราะเมื่อวานเห็นมีคนลงหน้า ImmiAccount บน Social media แบบเต็มๆ ไม่ปิดอะไรเลย มิจฉาชีพเข้าถึงใบสมัครและเข้าไปแก้ไขข้อมูลได้เลยนะคะ (ไม่ขู่ ไม่ล้อเล่น เรื่องจริง) ข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผย ไม่ใช่แค่ชื่อ และวันเดือนปีเกิด .... เลข Grant number เลข Application ID เลข File Number และ TRN ด้วยค่ะ ปิดให้หมด ว่าแล้วคนเขียนแชร์ประสบการณ์ดีกว่า จะได้เห็นภาพว่าภัยมีจริงนะจ๊ะ ไม่ได้ล้อเล่น น้องติดต่อมาปรึกษา น้องจ้างเอเจนต์เถื่อนยื่นวีซ่าลี้ภัย ตอนมาปรึกษาคือถูกเรียกเก็บเงินเพิ่มอีกหลายพันเหรียญ คุณเถื่อนบอกว่าวีซ่าถูกปฏิเสธ เร่งให้ชำระเงินเพื่อยื่นอุทธรณ์ น้องอยากทราบว่านอกจากการยื่นอุทธรณ์แล้ว น้องมีทางเลือกอะไรอีกบ้างไหม วีซ่าลี้ภัย ?? ..... ก่อนจะให้คำแนะนำ น้องก็โดนคนเขียนบ่นไปตามระเบียบ คนเขียนเทียบเอกสารต่างๆที่ขอให้น้องส่งมา ... เอ ทำไมหน้าตาแปลกๆ ... คือหน้าตาจดหมายไม่แปลก เหมือนจดหมายจากอิมมิเกรชั่นทุกอย่าง ... แต่เวลาน้องมาปรึกษา คนเขียนไม่เคยดูแค่เอกสารชิ้นเดียวไง ... เราเลยเจอว่าคุณเถื่อนปลอมจดหมายอิมมิเกรชั่น !!!! ... จริงๆแล้ว เคสยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่ถูกปฏิเสธ .... น้องเกือบได้เสียตังค์ ... คนเขียนแนะนำให้น้องสร้าง ImmiAccount ใหม่ เพื่อที่จะดึงเคสมาอยู่ในความดูแลของตัวเอง ... ปรากฏว่าคุณเถื่อนไหวตัวทัน และเพราะมีข้อมูลส่วนตัวของน้องทุกอย่าง คุณเถื่อนเข้าไปทำการถอนใบสมัครวีซ่าลี้ภัยของน้อง !!!! คนเขียนคาดว่าคงโกรธ เพราะโดนรู้ทัน ตังค์ที่คิดว่าจะได้ก็ไม่ได้ เลยสร้างปัญหาให้น้องซะเลย ... โอเค คนเขียนไม่สนับสนุนให้น้องยื่นวีซ่าลี้ภัยก็จริง แต่ก็ทนให้น้องถูกกระทำแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน ... จากที่มาขอปรึกษาหาทางเลือกวีซ่า 1 ชั่วโมง ... ทำไปทำมา ... คนเขียนหมดไปหลายชั่วโมงในการช่วยคิดว่าจะแก้ไขปัญหายังไงดี (ฟรีค่ะ สงสารน้อง + เคืองคุณเถื่อน ขอช่วยหน่อย) ... กว่าน้องจะกู้ใบสมัครมาอยู่ในมือตัวเอง กว่าจะกำจัดคุณเถื่อนออกไป ให้ไม่มีทางเข้าถึงข้อมูลใบสมัครของน้องอีกต่อไป หมดเวลาไปหลายวัน เคสนี้ น้องโชคดีที่เราเจอปัญหาก่อน ไม่ว่าจะเป็นคำตัดสินปลอม หรือการถูกถอนเรื่องโดยไม่รู้ตัว เราแก้ปัญหาทัน น้องก็ไม่เสียตังค์ให้มิจฉาชีพไปฟรีๆ และเคสก็กลับเข้าไปอยู่ในระบบตามเดิม ... แต่จะมีอีกกี่คนที่มีปัญหา แต่ไม่ทราบว่าตัวเองมีปัญหา ย้ำตัวโตๆ ข้อมูลส่วนตัว เก็บไว้กับตัว ไม่ต้องเปิดเผย ไม่ให้ข้อมูลกับใครยกเว้นว่าเราไว้ใจเค้าได้ .... แต่ถ้ามาปรึกษาคนเขียน ต้องให้นะคะ เพราะถ้าไม่ให้ ก็ไม่ได้คำแนะนำ Q: อ้าวก็คุณเถื่อนเป็นคนสร้าง ImmiAccount เป็นคนยื่นใบสมัคร ก็ต้องเข้าถึงข้อมูลได้ ก็ถูกแล้วนิ A: ก็ใช่ไง เพราะฉะนั้น จะใช้บริการใคร ก็หาคนที่ไว้ใจได้ จะได้ไม่มีปัญหาแบบน้องคนนี้ และ ... ต่อให้ไม่ได้เป็นคนสร้าง ImmiAccount หรือเป็นคนยื่นใบสมัครให้ ถ้าทราบข้อมูลมากพอ ก็เข้าระบบได้เหมือนกัน ด้วยความหวังดีค่ะ Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com Q: อุ๊ย 482 มี GTE ด้วยเหรอ ??
A: มีค่ะ สำหรับอาชีพที่อยู่ใน Short term list (STSOL) Q: เอิ่ม .... GTE คืออะไร ??? A: GTE หรือ Genuine Temporary Entrant คือประเด็นการพิจารณาของบางวีซ่า เช่นวีซ่านักเรียน วีซ่าทำงาน วีซ่าท่องเที่ยว ที่อิมมิเกรชั่นจะต้องเชื่อว่าน้องเข้ามาเรียน มาทำงาน มาท่องเที่ยว แล้วก็จะกลับประเทศของตัวเอง วีซ่านักเรียนและวีซ่าท่องเที่ยวถูกปฏิเสธด้วยประเด็นนี้เยอะมาก ประเด็น GTE ปกติแล้วไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับการขอ 482 STSOL .... แต่ต้องระวัง ถ้า * อยู่ออสเตรเลียมานานหลายปีแล้ว * ถือ 457 หรือ 482 STSOL มาแล้ว และต้องการขอ 482 STSOL รอบที่ 2 หรือ 3 หรือ 4 .... * มีประวัติเคยยื่นขอวีซ่าถาวร !!! เคสที่คนเขียนจะแชร์วันนี้ เป็นเคสรวมมิตร รวมทั้ง 3 ประเด็นเลย * น้องถือ 457 รุ่นเก่า ที่ทำงานกับนายจ้างครบ 2 ปี สามารถต่อยอดไปขอวีซ่าถาวร 186 ได้ * น้องไม่มีผลภาษาอังกฤษ ทนายของน้องแนะนำให้ยื่น 186 บอกว่าผ่านแน่นอนโดยใช้ผลการเรียนที่เป็นภาษาอังกฤษ 5 ปี * ยื่นไปได้ 20 วัน น้องถูกปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่าไม่มีผลการเรียน 5 ปี * ทนายของน้องแนะนำให้ยื่นอุทธรณ์ บอกว่าผ่านแน่นอนที่ชั้นอุทธรณ์ น้องมาปรึกษาคนเขียน ขอความเห็นที่สองเกี่ยวกับเคสอุทธรณ์ และแนวทางว่าจะอยู่ที่นี่ต่อยังไง เพราะวีซ่า 457 ที่ถืออยู่กำลังจะหมด ความเห็นของคนเขียนคือ * เคสอุทธรณ์ 186 ไม่น่าจะรอด เพราะน้องไม่มีผลการเรียนที่เป็นภาษาอังกฤษ 5 ปีจริงๆ (ถ้าจะรอด ก็คือฟลุ๊ก Tribunal member เห็นใจ แอบหลับตาข้างนึง) * ยื่น 482 ได้ เสี่ยงถูกปฏิเสธ เพราะ - น้องอยู่มา 13 ปีแล้ว - ถือ 457 มาแล้ว 4 ปี และกำลังจะขอ 482 STSOL - มีประวัติการยื่นขอวีซ่าถาวร 186 และตอนนี้เรื่องอยู่ที่ชั้นอุทธรณ์ ..... แต่น้องกำลังจะเชิญชวนให้อิมมิเกรชั่นเชื่อว่าน้องต้องการที่จะอยู่ที่ออสเตรเลียชั่วคราว เพื่อทำงาน และอนาคตก็จะกลับไปใช้ชีวิตที่ไทย .... เคสนี้เราให้ข้อมูลประเด็นนี้ไปแล้วรอบนึงตอนยื่นใบสมัคร คาดไว้แล้วว่าเราอาจจะเจอรอบ 2 (แต่แอบหวังว่าจะไม่เจอ) พอเราได้จดหมายให้เวลา 28 วัน เพื่อตอบประเด็นนี้อีกรอบ คนเขียนเฉยๆ น้องก็ไม่ตกใจ เพราะเราเข้าใจตรงกันตั้งแต่ต้นแล้ว ... ให้ทำอะไร น้องทำ ... ขออะไร น้องหาให้ .... สุดท้ายน้องก็ได้ 482 ..... มีเวลาหายใจ มีเวลาปรับแผนชีวิต มีเวลาสอบภาษาอังกฤษ ทั้งน้องและนายจ้าง อยากให้คนเขียนทำเคสอุทธรณ์ 186 ที่ทนายคนเดิมยื่นไว้ .... ปกติแล้วคนเขียนไม่ค่อยปฏิเสธลูกความที่คนเขียนเคยทำเคสให้ ... แต่คณิตคิดง่าย .... ทนายคนเดิมของน้อง มีความเห็นว่าเคสอุทธรณ์ผ่านแน่ๆ และน้องก็เสียตังค์ค่าบริการไปแล้ว .... ส่วนคนเขียนคิดว่าเคสไม่น่าจะไม่รอด แล้วจะรับทำเคส ให้น้องเสียตังค์เพิ่มโดยใช่เหตุไปเพื่ออะไร .... ก็ให้น้องอยู่กับทนายเดิมไป ถ้าเคสผ่านคนเขียนก็ดีใจไปกับน้องด้วย .... ถ้าไม่ผ่าน ก็เป็นไปตามที่แจ้งไว้ และก็ได้ให้แนวทางไว้แล้วว่าระหว่างนี้ ควรทำอะไร และปรับแผนชีวิตยังไง ส่วนน้องจะทำ หรือจะแค่รอความหวังกับเคสอุทธรณ์ที่ทนาย 2 คนเห็นไม่เหมือนกัน ก็แล้วแต่น้อง น้องบางคนอ่านโพสนี้อาจจะคิดว่า Q: อ้าว ขนาดทนายด้วยกันยังเห็นไม่เหมือนกัน แล้วชีวิตชั้นจะรอดไหม ???? A: เป็นเรื่องปกติมากที่ทนายความหรือเอเจนต์จะมีความเห็นไม่ตรงกัน หรือมีสไตล์การทำงานที่ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะด้วยประสบการณ์การทำงานที่ต่างกัน หรือตีความกฏหมายต่างกัน บางคนลืมเช็คข้อกฏหมายก่อนให้คำแนะนำลูกความ หรือลืมเช็คข้อกฏหมายก่อนยื่นใบสมัคร (อย่าลืมว่ากฏหมายคนเข้าเมือง เปลี่ยนบ่อยมาก) Q: โอเค เข้าใจที่พูดมา แต่ในทางปฏิบัติ ชั้นทำอะไรได้บ้าง A: หาความเห็นที่ 2 (หรือ 3 หรือ 4... ) หาคนที่ใช่ ที่น้องมั่นใจ คนที่คลิ๊กค์และคุยกันรู้เรื่อง .... การนัดปรึกษาเบื้องต้นเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เป็นโอกาสที่คุณจะได้คุยเบื้องต้น หาแนวทางสำหรับอนาคต หรือหาแนวทางสำหรับเคสที่กำลังเจอปัญหา เปรียบเทียบและพิจารณาว่าคำแนะนำไหน Make sense มากที่สุด (อย่าลืมทำการบ้านเองด้วย ก่อนคุยเคส น้องจะได้ประโยชน์มากกว่า) นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่น้องจะได้พิจารณาบุคลิก การพูดจา สไตล์การทำงาน ความน่าเชื่อถือ ของคนที่เราอาจจะใช้บริการด้วย Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com Student visa (Subclass 500)
เงื่อนไขการทำงาน - ตั้งแต่วันที่ 19 January 2022 ไม่ว่าจะถือวีซ่าหลัก หรือวีซ่าติดตาม ทำงานได้ไม่จำกัดชั่วโมง - โน๊ตว่า คนถือวีซ่าหลัก ก็ยังต้องเรียน เก็บ attendance และทำผลการเรียนนะคะ - โน๊ตต่อว่า รัฐบาลจะรีวิวเงื่อนไขที่ให้ทำงานใหม่นี้ เดือน April 2022 Refund เงินค่าใบสมัคร - ไม่ว่าจะถือวีซ่าหลัก หรือวีซ่าติดตาม - ไม่ว่าจะถือวีซ่านักเรียนอยู่แล้ว หรือเพิ่งขอก็แล้วแต่ - ถ้าเดินทางมาถึงออสเตรเลียระหว่างวันที่ 19 January 2022 และ 19 March 2022 - สามารถทำเรื่อง Refund ขอคืนเงินค่าใบสมัครได้ - การขอ Refund ทำได้ถึง 31 December 2022 Work and Holiday visa (Subclass 462) และ Working Holiday visa (Subclass 417) เงื่อนไขการทำงาน - ตั้งแต่วันที่ 19 January 2022 ถึง 31 December 2022 ไม่จำต้องเปลี่ยนนายจ้างทุก 6 เดือน Refund เงินค่าใบสมัคร - ไม่ว่าจะถือวีซ่า 462 / 417 อยู่แล้ว หรือเพิ่งขอก็แล้วแต่ - ถ้าเดินทางมาถึงออสเตรเลียระหว่างวันที่ 19 January 2022 และ 19 April 2022 - สามารถทำเรื่อง Refund ขอคืนเงินค่าใบสมัครได้เช่นกัน Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com วันนี้คนเขียนมาแชร์ประสบการณ์การทำ Skills Assessment ตำแหน่ง Restaurant Manager
เคสนี้ น้องติดต่อคนเขียนมา 5 เดือนก่อนวีซ่าหมดอายุ ..... มองเผินๆเหมือนน้องติดต่อมาเนิ่นๆ เวลาเหลือเฟือ ... แต่พอมองระยะเวลาภาพรวม และวีซ่าที่น้องต้องการยื่น เวลาเหลือไม่เยอะเลย เพราะสเต็ปที่ต้องทำก่อนการยื่นวีซ่ามีเยอะ และแต่ละสเต็ปก็ต้องใช้เวลาในการเตรียมเคส และเวลาในการรอผล ส่วนใหญ่น้องที่ให้คนเขียนทำ Skills Assessment ก็จะให้คนเขียนทำงานส่วนอื่นด้วย เพราะฉะนั้นต่อให้เราเริ่มงานกันที่ Skills Assessment คนเขียนไม่ได้พิจารณาเอกสารสำหรับการยื่น Skills Assessment เท่านั้น แต่พิจารณาเผื่อไปถึงสเต็ปอื่นด้วย Skills Assessment เคสนี้ ระยะเวลาพิจารณาปกติคือ 10-12 อาทิตย์ (3 เดือน) และมี Option ให้เลือกเป็น Priority processing ได้ด้วย ซึ่งจะทราบผลภายใน 10 วันทำการ .... คนเขียนให้น้องเลือก เพราะระยะเวลายังพอยื่นแบบปกติได้ แต่น้องก็เลือกแบบ Priority processing ข้อดีของ Priority processing คือเร็ว ..... ข้อเสียคือจะไม่มีการขอเอกสารเพิ่ม ถ้าพลาด เอกสารไม่ครบ หรือไม่ดีพอ ก็ถูกปฏิเสธเลย เคสนี้ คนเขียนตีเอกสารกลับไปให้น้องแก้ รวมทั้งขอเอกสารเพิ่มหลายครั้ง เพราะเราพลาดไม่ได้ โดยเฉพาะเคสนี้ ที่น้องรับค่าจ้างเป็นเงินสด Q: เอะ รับเงินสดได้ด้วยเหรอ ??? A: ได้สิ ไม่มีกฏหมายห้ามรับค่าจ้างเป็นเงินสด ... ตราบใดที่มีการจ่ายภาษี และทำทุกอย่างกันอย่างถูกต้องตามกฏหมาย (แต่รับเงินเข้าบัญชี ดีที่สุด เพราะพิสูจน์ง่ายกว่า = เคสมีความเสี่ยงน้อยกว่า) น้องเห็นคนเขียนตีเอกสารกลับ ขอเอกสารเพิ่ม ก็กังวลว่าเคส Skills Assessment จะมีปัญหาไหม ซึ่งคนเขียนบอกเลยว่า ... ไม่ค่ะ ... คนเขียนมั่นใจว่าเคส Skills Assessment ไม่มีปัญหา .... แต่อย่างที่เกริ่นไป คนเขียนพิจารณาเอกสารเผื่อสเต็ปอื่นไปด้วยเลย (Why not?) ในเมื่อคนเขียนก็เป็นคนทำสเต็ปต่อไปให้ลูกความ และเห็นข้อมูลและปัญหาอื่นอยู่ เราก็มองไกลนิดนึง แก้ปัญหาล่วงหน้าไปพร้อมๆกับการเตรียมยื่น Skills Assessment เลย เคสนี้ Skills Assessing Authority ตอบรับการพิจาณาเคสเป็นแบบ Priority Processing วันศุกร์ .... วันพุธ ตี 2 คนเขียนได้รับอีเมล์ว่า Skills Assessment ผ่านแล้ว .... ม้วนเดียวจบ ใช้เวลา 2 วันทำการ ! .... รับเงินสด เอกสารก็แน่นได้ (ในบางเคส) .... จบไป 1 สเต็ป มีเวลาหายใจ และเตรียมสเต็ปถัดไป ป.ล. เคสรับเงินสด แบบสดจริงๆ ไม่มีบันทึก ไม่จ่ายภาษี ไม่ต้องคิดเลยนะคะ เสมือนไม่ได้ทำงาน .... เพราะฉะนั้น ถ้าคิดว่าวันนึงอาจจะต้องการยื่นวีซ่าที่ต้องใช้ประสบการณ์การทำงาน .... หางานที่เข้าระบบ และเสียภาษี คนเขียนมีน้องหลายคนที่มาปรึกษา ประสบการณ์การทำงานสูงหลายปีเลย แต่รับ cash in hand ทั้งหมด ไม่มี record อะไรทั้งสิ้น สะดวกนายจ้าง สะดวกลูกจ้าง รับเงินสดเต็มๆ แต่สุดท้ายจบอยู่ตรงนั้น ไปต่อไม่ได้ .... ฝากไว้ให้คิด Tip: พยายามทำงานในสายอาชีพที่เลือกให้ได้อย่างน้อย 20 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ .... เพราะ Skills Assessing Authority หลายๆที่ ไม่พิจารณาระยะเวลาการทำงานที่น้อยกว่า 20 ชั่วโมงต่ออาทิตย์เลยนะคะ Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com เมื่ออาทิตย์ก่อน คนเขียนเข้าร่วมสัมมนาที่จัดโดยหน่วยงานอุทธรณ์ Administrative Appeals Tribunal - AAT และหนึ่งในข้อมูลที่ได้รับจาก AAT คือ เคสธุรกิจ - นายจ้างสปอนเซอร์ มีเรทการชนะที่ชั้นอุทธรณ์ที่ 35% !!!
อนาคตไม่รู้ .... แต่ ณ วันนี้ เคสอุทธรณ์นายจ้างสปอนเซอร์ของคนเขียนทุกเคสอยู่ใน 35% นี้ การเตรียมเคสนายจ้างสปอนเซอร์ โดยเฉพาะเคสถูกปฏิเสธ Nomination ไม่ง่าย เพราะเป็นการพิสูจน์ใหม่หมดทุกประเด็น ไม่ใช่เฉพาะประเด็นที่ถูกปฏิเสธ และในความเห็นของคนเขียน ถ้าเตรียมเคสดีๆ ก็มีโอกาสสูงอยู่ เพราะส่วนใหญ่เป็นประเด็นที่ไม่ Black / White แต่ออกแนว Grey คือเรามีโอกาสที่โน้มน้าวให้ Tribunal member (คนตัดสินเคส) เห็นตามแนวทางการโต้เถียงของเรา สำหรับคนที่ไม่รู้ .....
หลายคนอาจจะสงสัยว่า Q: อ้าว ... แล้วจะยื่นไปพร้อมกันทำไม คือควรจะยื่น Nomination application และรอให้ผ่านก่อน แล้วค่อยยื่น Visa application ดีกว่าไหม A: จะยื่นพร้อมกัน หรือยื่นแยกเป็นสเต็ป ไม่มีสูตรตายตัวค่ะ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง พิจารณากันไปเคสๆไป ทั้ง 2 แบบ มีข้อดี ข้อเสีย แตกต่างกัน บางคนอาจจะไม่มีทางเลือก เช่นวีซ่ากำลังจะหมด หรือกฏกำลังจะเปลี่ยน หรือบางคนมีทางเลือก แต่ก็ยังควรจะยื่นไปพร้อมๆกัน ด้วยเหตุผลเฉพาะของแต่ละเคส (การให้คำแนะนำเคสพวกนี้ ต้องสัมภาษณ์แบบเจาะลึกค่ะ) Q: อุ๊ย ... ถ้า Nomination ถูกปฏิเสธ เราก็รีบถอนใบสมัครวีซ่า ก่อนถูกปฏิเสธสิ ??? A: ขึ้นอยู่กับเนื้อหา / สถานการณ์ของแต่ละเคสอีกแล้ว บางเคสก็ควรถอนเรื่อง บางเคสก็ควรปล่อยให้ถูกปฏิเสธแล้วไปอุทธรณ์ ยกตัวอย่างเช่น น้องยื่นวีซ่าก่อนกฏเปลี่ยน ถ้าถอนเรื่อง แล้วรอยื่นใหม่เมื่อพร้อม น้องก็ต้องยื่นให้เข้ากฏปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเป็นไปไม่ได้สำหรับน้องบางคน (ถ้าถึงจุดที่ Nomination ถูกปฏิเสธ และไม่ทราบว่าควรจะถอนเรื่อง หรือปล่อยให้วีซ่าถูกปฏิเสธดี ควรจะนัดปรึกษาค่ะ เพราะบางเคส ต่อให้น้องเข้ากฏเก่า และคิดว่าควรจะปล่อยให้ถูกปฏิเสธ เพื่อไปอุทธรณ์ แต่ถ้า Nomination หรือ Visa application ไม่มีโอกาสชนะเลย การยื่นอุทธรณ์ก็อาจจะไม่ใช่ทางออก) คนเขียนจบเคสอุทธรณ์ 186 / 187 Nomination & Visa applications ไป 3 เคสเมื่อไม่นานมานี้ ทั้ง 3 เคสเป็นเคสที่ยื่น Nomination & Visa applications ไปพร้อมกัน (2 ใน 3 เคสนี้ เป็นเคส Self-sponsorship) .... พอ Nomination ไม่ผ่าน Visa ก็ไม่ผ่านด้วย ทั้ง 3 เคส Strategy ของเรา (ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน) คือ .... จูงมือกันไปอุทธรณ์ทั้งส่วนของนายจ้าง และลูกจ้าง ความน่าสนใจของลูกความ 3 เคสนี้ เคสที่ 1 - ลูกความ Proactive แบบสุดๆ แนะนำให้ทำอะไร ได้ดั่งใจทุกอย่าง ทั้งส่งเอกสาร ทั้งติดต่อคนเขียนเป็นระยะๆ อัพเดทกันตลอด มีคำถามอะไรเกี่ยวกับธุรกิจที่อาจจะกระทบกับเคส น้องโทรขอคำแนะนำก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร หรือไม่ทำอะไร .... เคสยาก แต่ไม่มีความหนักใจเลย เคสที่ 2 - แนะนำอะไรไป ก็ทำมั่ง ไม่ทำมั่ง และแอบทำเคสเละระหว่างรอ Hearing อีกตังหาก (ลูกความของคนเขียนทุกคน ยกหูโทรหาคนเขียนได้ตลอดไม่ต้องนัดล่วงหน้า ถ้าไม่รับสาย เดี๋ยวโทรกลับ ... แต่น้องลูกความไม่โทร ไม่ถามนี่สิ) .... คนเขียนก็งานงอกซิคะ ต้องมานั่งแก้ปัญหาที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นหลายประเด็นตอนใกล้ Hearing เหนื่อยแบบสุดๆกับการคิด ว่าจะยื่นเอกสารอะไร จะเชิญชวนให้ Tribunal member เห็นดีเห็นงามไปกับคนเขียนได้ยังไงกับเคสที่ไม่ค่อยสวย .... จากนั้นก็มาลุ้นต่อว่าจะชนะหรือไม่ เคสที่ 3 - ลูกความรู้ดีกว่าคนเขียน (ใช่แล้ว บางทีเราก็ได้ลูกความที่รู้ดีกว่าเรา) .... เหนื่อยหนักกว่าเคสที่ 2 อีก กลัวเคสจะไปไม่รอด .... ลองนึกถึงคนที่แนะนำอะไรไปก็เถียง ไม่ฟัง ให้เตรียมอะไรก็ไม่เตรียมเพราะมั่นใจในตัวเอง .... บอกตามตรงว่าคนเขียนมีโมเม้นต์ที่อยากจะเชิญลูกความให้เอาเคสกลับไปทำเอง ทั้ง 3 เคส คนเขียนเคลียร์ประเด็นที่ถูกปฏิเสธโดยอิมมิเกรชั่นได้แบบไม่ยาก แต่เนื่องจาก AAT ดูเคส Nomination ใหม่หมดทุกประเด็น ไม่ใช่แค่ประเด็นที่ถูกปฏิเสธ เพราะฉะนั้นเราโฟกัสไปประเด็นที่ถูกปฏิเสธประเด็นเดียวไม่ได้ และทั้ง 3 เคสนี้ ประเด็นที่เป็นปัญหาจริงๆที่ชั้นอุทธรณ์ ก็ไม่ใช่ประเด็นที่ถูกปฏิเสธโดยอิมมิเกรชั่น (ความน่าปวดหัวของเคส Nomination อยู่ตรงนี้เอง) ..... ลองนึกภาพ คนเขียน: น้องคะ ประเด็นนี้ (xxx) คาดว่าจะเป็นประเด็นหลัก น้องเตรียมเอกสาร 1 2 3 4 และเตรียมข้อมูล (yyy) ไว้ด้วยนะคะ คาดว่าคำถามจะมาประมาณ บลา ... บลา ... บลา ลูกความ: โอ๊ยพี่ ไม่ต้องหรอก มั่นใจว่าประเด็นนี้ไม่ใช่ปัญหา เพราะ บลา ... บลา ... บลา (หลงประเด็น แต่มั่นใจ) คนเขียน: น้องถือสายรอแป๊บนึงนะคะ เดี๋ยวกลับมาอธิบายให้ฟังอีกรอบ [คนเขียนขอเอาหัวไปโขกเสา 3 รอบ และนับ 1 - 100 ก่อน] จริงๆ อธิบายย้ำไปอีกหลายรอบ .... แนะนำได้ แต่ถ้าลูกความไม่ทำ คนเขียนก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ทำใจ วัน Hearing: ไม่ใช่แค่ประเด็นที่คาดไว้เท่านั้น แต่เป็นคำถามที่คาดไว้ด้วย น้องตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้เตรียม (คนเขียนอยากจะบอกว่า I told you so!!) .... คนเขียนจะไม่แคร์ก็ได้ เพราะพยายามแล้ว แนะนำแล้ว ซ้ำหลายรอบด้วย แต่น้องไม่ฟัง ไม่เตรียม .... แล้วแคร์ไหม ? .... อยากจะไม่แคร์เหมือนกัน แต่ทำไม่ลง ... สำหรับคนเขียน ตราบใดที่เคสยังอยู่ในมือ ก็ต้องทำให้ดีที่สุด .... เราก็ต้องมีเทคนิคการช่วยลูกความ รวมถึงโดน Tribunal member โวยใส่แทนลูกความด้วย !!!! (แอบสงสารตัวเองนิดนึง) เห็นไหม ว่าทำไม การทำเคสแต่ละเคส เรารับประกันความสำเร็จของงานไม่ได้ .... ปัจจัยที่อาจจะทำให้เคสไม่ผ่าน มีเยอะแยะมากมาย รวมถึงปัจจัยที่ไม่ควรจะเกิดแบบเคสนี้ แนะนำแล้วไม่ทำ สุดท้ายน้องมาขอโทษ ที่ไม่ฟัง และไม่เตรียมเคสตามที่แนะนำ และทำให้คนเขียนโดนโวย .... สำหรับคนเขียน การโดนโวยแทนลูกความเป็นเรื่อง จิ๊บ จิ๊บ ไม่คิดมาก [แต่ไม่โดนเลย ดีที่สุด] .... แต่ที่เคืองคือน้องไม่ฟัง และทำเคสเกือบพัง .... คนเขียนพยายามฝ่ายเดียวไม่ได้นะคะ น้องลูกความต้องพยายามด้วย นี่คือเหตุผลที่บางเคส คนเขียนก็ต้องเชิญลูกความให้ไปใช้บริการคนอื่น ถ้าไม่เชื่อ Strategy และคำแนะนำของคนเขียน ถ้าเชื่อคนอื่น หรือเชื่อตัวเองมากกว่า บอกเลยว่าช่วยยาก และเสียเวลามาก คนเขียนขอเอาเวลาอันมีค่า ไปช่วยคนที่มั่นใจในตัวคนเขียนดีกว่า ล่าม - ถ้าไม่มั่นใจในภาษาอังกฤษของตัวเอง หรือของพยาน ขอล่ามไว้ก่อน (ฟรี) .... คือมีล่าม แล้วไม่ใช้ก็ได้ แต่ถ้าจะใช้ แล้วไม่มี เดือดร้อนนะคะ เอเจนต์หรือทนายความช่วยแปลไม่ได้ เพื่อนน้องหรือพยาน ก็ช่วยแปลไม่ได้ ทั้ง 3 เคส คนเขียนขอล่ามให้ทุกเคส ลูกความของคนเขียน ก็มีทั้งแบบใช้ล่ามเป็นบางช่วง ไม่ใช้ล่ามเลยเพราะสื่อสารกันรู้เรื่อง เคสที่แอบปวดหัวคือเคสที่สื่อสารไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็ไม่ยอมใช้ล่าม (จุดประสงค์ของการ Hearing คือการสื่อสารกับ Tribunal member ถาม-ตอบ และให้ข้อมูลว่าเคสเราควรจะผ่านเพราะอะไร ไม่ใช่การโชว์ความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษ และถ้าสื่อสารแบบติดๆขัดๆ นอกจากจะไม่ได้ช่วยเคสแล้ว คุณก็ไม่ได้โชว์ความสามารถทางภาษาอยู่ดี) ทั้ง 3 เคส เราชนะที่ชั้นอุทธรณ์ และเคสจบไปได้ด้วยดี .... ข้อมูลอีกอย่างที่ได้จากวันสัมมนา คือ ... 40% ของเคสธุรกิจ - นายจ้างสปอนเซอร์ที่ชั้นอุทธรณ์ใช้ระยะเวลารอเกิน 2 ปี .... เพราะฉะนั้น การตามเคสถี่ๆ ไม่ได้ทำให้เคสเร็วขึ้น คนอื่นเค้าก็รอเคสนานเหมือนคุณ ถ้าไม่มีเหตุผลอันสมควร ไม่ต้องคิดลัดคิว .... สิ่งที่จะช่วยคุณได้คือการใช้เวลาระหว่างรอเคสให้เป็นประโยชน์ที่สุด เก็บเอกสารหลักฐานที่จะต้องใช้ ... ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ปิดโอกาสตัวเองในระหว่างรอ อย่าลืมว่ากฏหมายด้านนี้เปลี่ยนบ่อยมาก คุณอาจจะมีโอกาสยื่นและได้วีซ่าตัวอื่นในระหว่างรอเรื่องก็ได้ Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com ประกาศข่าวดี -- เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 December 2021
คนที่ถือวีซ่าต่อไปนี้ ถ้าฉีดวัคซีนครบแล้ว ไม่ต้องขอ Travel Exemption ฉีดวัคซีนครบแล้ว หมายถึง ...... 1. ฉีดวัคซีนต่อไปนี้ 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 14 วัน (ฉีดไขว้ได้)
4. ถ้าฉีดไม่ครบ ยังต้องขอ Travel Exemption วีซ่าที่ว่าคือ Subclass 200 – Refugee visa Subclass 201 – In-country Special Humanitarian visa Subclass 202 – Global Special Humanitarian visa Subclass 203 – Emergency Rescue visa Subclass 204 – Woman at Risk visa Subclass 300 – Prospective Marriage visa Subclass 400 – Temporary Work (Short Stay Specialist) visa Subclass 403 – Temporary Work (International Relations) visa (other streams, including Australian Agriculture Visa stream) Subclass 407 – Training visa Subclass 408 – Temporary Activity visa Subclass 417 – Working Holiday visa Subclass 449 – Humanitarian Stay (Temporary) visa Subclass 457 – Temporary Work (Skilled) visa Subclass 461 – New Zealand Citizen Family Relationship visa Subclass 462 – Work and Holiday visa Subclass 476 – Skilled – Recognised Graduate visa Subclass 482 – Temporary Skill Shortage visa Subclass 485 – Temporary Graduate visa Subclass 489 – Skilled – Regional (Provisional) visa Subclass 491 – Skilled Work Regional (Provisional) visa Subclass 494 – Skilled Employer Sponsored Regional (Provisional) visa Subclass 500 – Student visa Subclass 580 – Student Guardian visa (closed to new applicants) Subclass 590 – Student Guardian visa Subclass 785 – Temporary Protection visa Subclass 790 – Safe Haven Enterprise visa Subclass 870 – Sponsored Parent (Temporary) visa Subclass 988 – Maritime Crew visa อนาคต จะมีประเภทวีซ่าเพิ่มอีก และมีการเปลี่ยนแปลงอีก ติดตามเงื่อนไขการเข้าเมืองในช่วงโควิดได้ที่นี่ และอย่าลืมเช็คเงื่อนไขการกักตัวของแต่ละรัฐก่อนเดินทางด้วยนะคะ Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com เคสวีซ่านักเรียนที่ถูกปฏิเสธส่วนใหญ่เป็นเรื่อง Genuine Temporary Entrant (GTE) คืออิมมิเกรชั่นไม่เชื่อว่าน้องตั้งใจจะเป็นนักเรียนจริงๆ คืออาจจะคิดว่าขอวีซ่าเพื่อจะทำงาน หรือคิดว่าเมื่อเรียนจบแล้ว คงไม่ยอมกลับประเทศแน่ๆเลย
น้องๆนักเรียนถึงต้องเขียน Statement of purpose เพื่อที่จะโน้มน้าวอิมมิเกรชั่นว่า ชั้นอยากมาเรียนจริงๆนะ เรียนจบแล้วก็จะกลับนะ ยกตัวอย่างประเด็นที่ถูกปฏิเสธ ก็เช่น 1. อยู่ที่ออสเตรเลียมานานหลายปี 2. ขอเรียนระดับที่ต่ำกว่าวุฒิการศึกษาที่ไทย 3. ขอต่อวีซ่า และเลือกเรียนระดับที่ต่ำกว่าคอร์สที่เรียนก่อนหน้า 4. ขอเรียนในสายวิชาที่ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับสายที่เคยเรียนมา หรือมีประสบการณ์ทำงานมา 5. อายุค่อนข้างเยอะ 6. ต่อวีซ่านักเรียนมาหลายรอบแล้ว อยู่มานานแล้ว แต่แทบไม่ได้กลับไปเยี่ยมที่บ้านเลย 7. ไม่ทำ Research และเขียน Statement of purpose ได้ไม่ดี 8. ไม่ยื่น Statement of purpose 9. .... มีอีก ... แต่ ตอนนี้คิดไม่ออก วันนี้คนเขียนมี Telephone Hearing .... ลูกความอยู่รัฐนึง คนเขียนอยู่อีกรัฐนึง และ AAT ก็อยู่อีกรัฐนึง น้องลูกความควบมาหลายประเด็นเลย อยู่ออสเตรเลียมาประมาณ 10 ปีได้ เรียนสูงมา แล้วมาเปลี่ยนเป็นคอร์สที่ต่ำกว่า และเป็นคนละสายกับที่เคยเรียนมา .... แถมอายุก็เริ่มเยอะ (อายุ 37 ตอนถูกปฏิเสธ อายุ 39 ณ วัน Hearing) .... Statement of purpose ของน้อง ก็ ..... เกือบดี ตอนน้องมาเป็นลูกความของคนเขียน น้องมีการยื่นเอกสารบางอย่างเข้าไปแล้ว รวมถึง Statement of purpose ... ที่แอบกุมขมับคือยื่นไป 2 ฉบับค่ะ!!!! ฉบับเกือบดี1 กับฉบับเกือบดี2 และยื่นต่างกัน 1 วัน เนื้อหาคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน คือยื่นทำไม ไม่เข้าใจ (ปัญหาของคนทำเคสเอง คือไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร) เคสนี้ เรายื่นเอกสารเข้าไปอีกเยอะเลยค่ะ รวมถึง Statement of purpose ฉบับใหม่ (คือถ้าน้องมาหาคนเขียนตั้งแต่ต้น เราคงยื่นแค่ฉบับใหม่ฉบับเดียว!) .... เอกสารบางชิ้น คนเขียนนั่งคิดนานมาก เพราะต้องชั่งน้ำหนักว่าเอกสารจะช่วยเคส หรือจะทำเคสพัง ..... เป็นความโชคดีของคนเขียน ที่ขออะไรไป น้องก็พยายามหามาให้ และน้องก็ไว้ใจ ให้คนเขียนตัดสินใจเลยว่าจะยื่นอะไร หรือไม่ยื่นอะไร Hearing เช้านี้ .... Tribunal member เริ่มต้นการพิจารณาด้วยคำว่า "ชั้นได้ดูเอกสารที่ยื่นเข้ามาทั้งหมดแล้ว และเอกสารครอบคลุมทุกประเด็น ทำให้ชั้นเชื่อว่าคุณตั้งใจจะเป็นนักเรียนจริงๆ และชั้นตัดสินใจส่งเคสกลับไปให้อิมมิเกรชั่นพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป" ..... สรุปว่าไม่มีคำถาม .... แถมได้คำตัดสินเดี๋ยวนั้นเลย .... น้อง Happy มีแอบกรี๊ดใส่ Tribunal member เล็กน้อย .... เคสจบไปได้ด้วยดี (คนเขียนหายเหนื่อย และดีใจไปกับน้องด้วย) สำหรับเคสที่ถูกปฏิเสธวีซ่านักเรียน .... ถ้าอยากมีโอกาสชนะ ช่วยตั้งใจเรียนในระหว่างรอการพิจารณาด้วยนะคะ Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com Hot news ..... ใครติด Section 48 Bar .... สามารถยื่นวีซ่า
แบบในประเทศออสเตรเลียได้ตั้งแต่วันที่ 13 November 2021 โพสนี้ มาเร็ว ไปเร็ว แค่ต้องการแจ้งข่าวดี คนเขียนเชื่อว่าต้องมีน้องหลายๆคนที่จะได้ประโยชน์จากข่าวนี้ ดีใจด้วยนะคะ Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com Update: 1 October 2021
ตอนแรกคนเขียนตั้งใจว่าจะไม่ลงอัพเดท เพราะยังไม่มีอะไรใหม่ที่กระทบคนไทย แต่มีน้องๆโทรมาถามหลายคน เลยขอสรุปสั้นๆนิดนึงนะคะ จะได้ไม่ถูกใครหลอก เมื่อวาน 30 September 2021 ได้มีการปรับแก้กฏหมาย เพื่อให้ Agriculture visa หรือวีซ่าการเกษตร เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวีซ่า Subclass 403 วีซ่าตัวนี้แตกย่อยไปหลายแขนง รวมถึง Seasonal Worker Program และ Pacific Labour Scheme ..... ซึ่งทั้งสองชื่อนี้ ไม่ใช่วีซ่าที่คนไทยจะสมัครได้นะคะ วีซ่าการเกษตรที่คนไทยเรียกกัน ...... ชื่ออย่างเป็นทางการมาแล้ว "Australian Agriculture Worker" .... เงื่อนไขวีซ่าก็มาแล้ว ...... แต่ตอนนี้ยังไม่ปรับใช้กับคนไทยค่ะ ตอนนี้รัฐบาลก็ต้องทำข้อตกลงกับประเทศที่จะเข้าร่วมโครงการ ไหนจะต้องคำนึงถึงเรื่องการกักตัวด้วย ...... รายละเอียดของวีซ่าน่าจะมีออกมาเป็นระยะๆ คนเขียนติดตามข่าวอยู่ แล้วจะมาอัพเดทให้ทราบที่โพสนี้นะคะ สำหรับคนไทย ดูแนวโน้มแล้ว น่าจะเป็นปีหน้าค่ะ เพราะฉะนั้น ..... ระวังกันด้วยนะคะ อย่าถูกหลอก Original post: 11 September 2021 คนเขียนตั้งใจว่าจะโพสแชร์ประสบการณ์เคสอุทธรณ์นะคะ แต่ขอแทรกโพสนี้ก่อน ช่วงนี้เศรษฐกิจแย่ ทุกคนมองหาโอกาส มิจฉาชีพก็เอาเหตุผลเดียวกันนี่แหละมาหลอกเอาตังค์ Agriculture visa หรือที่คนไทยเรียกกันว่าวีซ่าการเกษตร ยังเป็นแค่ประกาศ ยังไม่มีการปรับใช้ คือยังไม่มีวีซ่านี้สำหรับคนไทย รัฐบาลคาดว่าจะนำมาปรับใช้วันที่ 21 กันยายนนี้ ซึ่งจะทำได้หรือไม่ ยังไม่ทราบ และถ้าทำได้ จะรวมประเทศไทยด้วยเลยหรือไม่ ก็ยังไม่ทราบอีก เพราะฉะนั้นคิดให้ดีๆ ก่อนที่จะเสียตังค์ให้ใคร พิจารณาด้วยว่าคนๆนั้นเชื่อถือได้หรือไม่ มิจฉาชีพมีตั้งแต่หลอกเอาตังค์ และไม่ทำอะไรให้เลย หรืออาจจะทำวีซ่าแบบอื่น (ไม่ใช่วีซ่าที่ตกลงกันไว้) หรือที่แย่ไปกว่านั้น นอกจากไม่ทำวีซ่าให้แล้ว ยังเอาข้อมูลและเอกสารส่วนตัวของคุณไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่นไปทำเรื่องกู้ยืมเงิน (นอกจากเสียเงินฟรี แล้วยังเป็นหนี้อีกด้วย !!! เอาไหม ไม่ได้ขู่ โดนกันมาแล้ว) ถ้าเป็นคนเขียน .... อย่างน้อยๆ คนเขียนจะพยายามหาข้อมูลพวกนี้
และถ้าเป็นคนเขียน .... คนเขียนจะยังไม่เสียตังค์ให้ใคร จนกว่ารัฐออสเตรเลียจะประกาศว่าวีซ่าตัวมีการปรับใช้แล้ว และคนไทยสามารถสมัครได้ ถ้าวีซ่าตัวนี้ประกาศใช้แล้ว และคนไทยยังสมัครไม่ได้ คนเขียนก็คงรอต่อไป ..... ใครๆก็หวังอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกันทั้งนั้น แต่ระวังกันนิดนึงนะคะ Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com น้องลูกความเคสนี้ ไม่ใช่คนไทยค่ะ Referred มาจากอดีตลูกความที่คนเขียนเคยทำ 457 และ 186 ให้ และน้องเป็นซิติเซ่นไปเรียบร้อยแล้ว น้องเริ่มมาปรึกษาคนเขียนหนแรกปี 2018
ปี 2019 นายจ้างของน้อง ติดต่อมาหาคนเขียน
และ ... ใช่แล้วค่ะ อ่านไม่ผิด .... ไม่ใช่ทุกเคสที่ถูกปฏิเสธ และถือ Bridging visa แล้วจะต้องติด Section 48 Bar บางเคส น้องยังอยู่ในภาวะที่ยังสามารถทำอะไรซักอย่างให้ตัวเองไม่ติด Section 48 Bar ได้ (เช่นเคสนี้) บางเคส กว่าน้องจะมาถึงคนเขียน ก็เลยช่วงเวลาที่จะทำอะไรซักอย่างได้แล้ว แต่การสัมภาษณ์เจาะลึกเพื่อที่จะเข้าใจ timeframe ต่างๆในชีวิตน้อง (หมายถึง timeframe ของวีซ่า) อาจจะช่วยให้คนเขียนพิจารณาได้ว่าจริงๆแล้วน้องติดหรือไม่ติด Section 48 Bar สรุปว่า .... ส่วนใหญ่แล้ว เคสที่ถูกปฏิเสธวีซ่า เคสรออุทธรณ์ และลูกความถือ Bridging visa จะติด Section 48 Bar คือยื่นวีซ่าส่วนใหญ่ในประเทศออสเตรเลียไม่ได้ ..... แต่ (ตัวโตๆ) ... ไม่เสมอไป
ปี 2021 น้องลูกความที่เป็นแฟน (วีซ่าติดตาม ในภาษาน้องๆคนไทย) ติดต่อมาขอนัดปรึกษาสำหรับเคสตัวเอง และไม่ได้ท้าวความอะไรเกี่ยวกับเคสข้างบนเลย แต่พอส่งเอกสารมา คนเขียนเห็นชื่อคนถือวีซ่าหลัก คนเขียนนึกเคสออกเลยว่าเคสไหน เคสหน้าตาเป็นยังไง เคยให้คำแนะนำอะไรไว้กับคนถือวีซ่าหลัก และนายจ้าง (ขนาดไม่เคยทำเคสให้นะ บางเคส คนเขียนก็มี Photographic memory เคสนี้จำรายละเอียดเคส และคำแนะนำของตัวเองในปี 2018 & 2019 ได้ โดยไม่ต้องดูเอกสารย้อนหลัง !!! สมองเป็นอะไรที่แปลกมาก)
ปัญหาคือ
ถ้าตอนปี 2019 น้อง action อย่างที่คนเขียนแนะนำ น้องก็จะไม่ติด Section 48 Bar น้องคนติดตามก็ยื่น 482 ในประเทศออสเตรเลียได้ และก็จะได้ ฺBridging visa มาถืออีกหนึ่งตัว ถ้าเคสผ่าน ปัญหาที่มีอยู่ก็จบ ถ้าเคสไม่ผ่าน น้องก็ยังยื่นอุทธรณ์ได้ พัฒนาเคสตัวเองต่อไปในออสเตรเลีย (hindsight is a wonderful thing) แต่ตอนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว ป.ล. ทนายความและเอเจนต์แต่ละคน มีสไตล์การทำงานไม่เหมือนกัน มองเคสไม่เหมือนกัน วาง Strategy การทำเคสไม่เหมือนกัน คุณมั่นใจคนไหน คุณใช้บริการคนนั้น หรือทำตามคำแนะนำของคนนั้น คนเขียนจบเคสอุทธรณ์ AAT 186/187 Nomination & Visa applications ไป 3 เคส (ชนะทั้ง 3 เคส และ 2 ใน 3 เคสนี้ เป็น Self Sponsor) จะแชร์ประสบการณ์ให้อ่านกันในโพสหน้านะคะ ..... ขอบคุณที่ติดตามค่ะ Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com น้องคนไหนส่งคำถามมาทางอีเมล์ น้อยมากที่คนเขียนจะไม่ตอบ และส่วนใหญ่จะตอบภายใน 1-3 วัน (แล้วแต่ความยุ่งและโอกาสของแต่ละวัน) ถ้าไม่ได้รับอีเมล์ตอบกลับ
ส่วนน้อยที่คนเขียนจะไม่ตอบอีเมล์ ก็เช่น คำถามกว้างๆสั้นๆ ประมาณ "หนูอยากทำพีอาร์ค่ะ" "ผมอยากไปออสเตรเลีย ต้องทำยังไง" ถ้าให้ข้อมูลมาแค่นี้ บอกตามตรงว่าไม่ทราบว่าจะตอบยังไงเหมือนกัน จะให้อธิบายวีซ่าทุกประเภทก็คงไม่ไหว เพราะฉะนั้น สั้น กระชับ ได้ใจความ = ตอบได้ ตอบ | ถ้าตอบไม่ได้ เพราะรายละเอียดไม่พอ ต้องดูเอกสาร หรือต้องอธิบายกันยาว คนเขียนจะแจ้งรายละเอียดของการทำคอนซัลในอีเมล์ตอบกลับเลย คนเขียนเป็นประเภทม้วนเดียวจบนะคะ ตอบกลับไปกลับมาทีละประโยค สองประโยค ไม่ใช่สไตล์การทำงานของคนเขียน ถ้าไม่ทราบว่าจะเขียนยังไงให้สั้น กระชับ ได้ใจความ โทรเลยค่ะ 5 นาที Free advice Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com วันนี้คนเขียนมาแชร์ประสบการณ์ ทำเคสเอง ดีใจเอง เผลอๆดีใจมากกว่าลูกความซะอีก เพราะทราบว่าผล Bridging visa ตัวนี้ ให้ประโยชน์ลูกความมากมาย ..... ถ้าน้องจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
น้องโทรมาถามว่า Bridging visa E (BVE) ใกล้จะหมด ทำยังไงได้บ้าง คนเขียนถามคร่าวๆว่าไปทำอะไร ยังไง ก่อนจะถือ ฺBridging visa E น้องก็ตอบมาแบบงงๆ คนเขียนก็งงๆ ไปกับน้องด้วย เคสน้องค่อนข้างยุ่งเหยิงค่ะ คนเขียนขอไม่ลงรายละเอียด .... แต่ .... สรุปว่าต้องนัด Consultation ค่ะ และก็เป็นไปตามคาด น้องก็บอกตามความเข้าใจ แต่เอกสารมาอีกเรื่องนึงเลย และเอกสารก็มีไม่ครบเพราะทำเองบ้าง เพื่อนช่วยบ้าง เพื่อนของเพื่อนช่วยบ้าง .... สรุปว่า ข้อมูลบางอย่างคนเขียนต้องคาดเดาเอาเอง (จากประสบการณ์) ลูกความ : พี่ ... ทำยังไงได้บ้าง BVE ผมกำลังจะหมด และพาสปอร์ตผมก็หมดอายุไปแล้วด้วย คนเขียน : น้องต่อ BVE ใหม่ได้ค่ะ แต่คิดว่าไม่จำเป็น เพราะเท่าที่ดู เหมือนจะมีความผิดพลาดที่ระบบ คือ ฺBVE ของน้อง ยังไม่ควรจะมีวันหมดอายุ ควรจะโชว์ indefinite .... พาสปอร์ตไม่ใช่ปัญหา ลูกความ : อุ๊ย .... เหรอพี่ .... ผมต่อ BVE ได้อีกใช่ไหม ค่อยโล่งใจหน่อย คนเขียน : ใช่ค่ะ ต่อได้ (ก็เพิ่งบอกไป) .... แต่ไม่ควรต่อ .... ควรจะเถียงกับอิมมิเกรชั่น ให้ BVE ตัวเดิม ยืดอายุออกไปถึงจะถูก คนเขียน : ............ เงียบ ............ (เงียบไป แปลว่าอ่านหรือจด ---- เงียบนี้ คือกำลังอ่านข้อกฏหมายอยู่ และปรับเทียบกับประวัติของน้องลูกความ) คนเขียน : .... อืม .... ดูเอกสารน้องแล้ว เหมือนน้องน่าจะมีสิทธิ์ได้ Bridging visa A (BVA) นะคะ .... แต่เสี่ยงอยู่ เพราะเอกสารตัวที่อยากเห็น และจะใช้อ้างอิง น้องไม่มี แต่จากประสบการณ์ และการนับนิ้ว คิดว่าเคสนี้มีลุ้น เคสนี้คนเขียนต้องนับวันค่ะ .... วันที่ เป็นอะไรที่สำคัญมาก .... จะรอดหรือไม่รอด ขึ้นอยู่วันที่ของ Bridging visa ตัวเดิมที่ลูกความเคยถือ ว่าหมดอายุเมื่อไหร่ (แต่ลูกความไม่มี !!!) Big deal มากนะคะ !!!!! BVA ดีกว่า BVE มากมาย .... ถือ BVA สามารถยื่นขอ BVB เพื่อออกนอกประเทศออสเตรเลียได้ เปิดโอกาสให้ลูกความยื่นวีซ่าตัวอื่นแบบนอกประเทศออสเตรเลียได้ และกลับมารอวีซ่าในประเทศได้ (สำหรับเคส section 48 bar) ในขณะที่ BVE น้องออกไปไหนไม่ได้เลย (คือ ออกได้ แต่กลับเข้ามาไม่ได้) อ่านโพสเกี่ยวกับ Bridging visa ได้ที่นี่ค่ะ คนเขียนให้น้องเลือกเองระหว่าง 1. BVA ค่าบริการสูงกว่า เพราะเคสยากกว่า จะได้รึเปล่าไม่รู้ แต่มีลุ้น กับ 2. BVE ค่าบริการถูกกว่า และได้แน่ๆ ไม่ว่าจะเป็น BVE ตัวเดิมแต่เปลี่ยนจากมีวันหมดอายุ เป็นไม่มีวันหยุดอายุ หรือ BVE ตัวใหม่ ....... ติ๊กต๊อก .... ติ๊กต๊อก ....... น้องตัดสินใจให้คนเขียนลองยื่นขอ BVA ให้ ...... Good decision ค่ะ (คนเขียนอยากลอง เพราะเชื่อว่ามีลุ้น แต่นี่ชีวิตของลูกความ ตังค์ของลูกความ ก็ต้องให้ลูกความตัดสินใจเอง) ........ ปรากฏว่า อิมมิเกรชั่นได้ใบสมัคร BVA วันที่ 13 .... ปฏิเสธ BVA วันนั้นเลย ! ..... แอบผิดหวังไป 10 วิ (ก่อนอ่านคำตัดสิน) คนเขียนคิดว่าถ้าปฏิเสธเพราะเรื่องวันที่ (ที่เราไม่มีเอกสารอ้างอิง แต่อิมมิเกรชั่นมีในระบบ) เราก็ต้องยอมรับผลคำตัดสินนั้น ..... ปรากฏว่าไม่ใช่ค่ะ .... ถูกปฏิเสธเพราะเจ้าหน้าที่อ้างว่าน้องเคยถือ BVE มาแล้ว จะกลับมาถือ BVA ไม่ได้ ! ........ โดยส่วนใหญ่แล้ว .... ใช่ค่ะ .... ถือ ฺBVE แล้ว จะกลับมาถือ BVA ไม่ได้ ..... แต่ .... ไม่เสมอไป เคสนี้คนเขียนไม่คิดตังค์ลูกความเพิ่มด้วย .... แต่ขอ fight หน่อย เคืองใจมาก .... เจ้าหน้าที่ตัดสินแบบไม่ดูข้อกฏหมายได้ยังไง ... คนเขียนส่งอีเมล์ ระบุข้อกฏหมายที่ถูกต้องไปให้อิมมิเกรชั่น และขอให้พิจารณาใหม่ (เราไม่ยื่นใบสมัครใหม่ และเราก็ไม่ยื่นอุทธรณ์ด้วย) คนเขียนบอกน้องว่า BVA ถูกปฏิเสธนะ แต่รอก่อนกำลัง fight ให้อยู่ จะหมู่หรือจ่า เดี๋ยวอีกวันสองวันคงรู้เรื่อง วันนี้ อิมมิเกรชั่นส่ง BVA grant letter มาค่ะ .... ไม่มี condition ใดๆ เรียนได้ ทำงานได้ (ออกนอกประเทศได้ด้วย BVB) ....... ถูกปฏิเสธวันที่ 13 เปลี่ยนเป็น Visa grant ให้วันที่ 15 ..... สรุปว่าอิมมิเกรชั่นยอมรับว่าตัดสินผิด และข้อมูลที่คนเขียนต้องเดาและนับนิ้วจากประสบการณ์ ก็ถูกต้อง และตรงกับข้อมูลในระบบของอิมมิเกรชั่นค่ะ ..... เคสจบไปได้ด้วยดี ..... เย้ ........ ถือวีซ่าผิด ชีวิตเปลี่ยน ..... ........ ตัดสินใจผิด ชีวิตเปลี่ยน .... ฝากไว้ให้คิด บางครั้งโอกาสก็มากับการใช้เวลาขุดคุ้ย และมองลึก อ่านแล้วอ่านอีก ...... VEVO หรือวีซ่าที่ออกให้ ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป คำตัดสินของอิมมิเกรชั่นก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป Blog writer: Kanokwan Subhodyana Immigration Lawyer www.immigrationsuccessaustralia.com |
Author
Archives
December 2023
Categories
All
|