visa blog : สำหรับคนไทยค่ะ
  • Home
  • Blog

รู้หรือไม่ EP3

14/10/2023

 

▓   ย้ายที่อยู่ เปลี่ยนอีเมล์ ระหว่างรอผลวีซ่า ..... แจ้งอัพเดทข้อมูลกับอิมมิเกรชั่นด้วย

▓   ไม่ได้เปลี่ยนอีเมล์ ? ..... นอกจากเช็ค Inbox แล้ว ..... เช็ค Junk / Spam ด้วย

▓   2 อาทิตย์ 4 เคส .... ติดต่อมาด้วยปัญหาเดียวกัน ถูกปฏิเสธวีซ่า แต่ทราบเมื่อเลยกำหนดการยื่นอุทธรณ์ไปแล้ว

          ◙  1 x เปลี่ยนอีเมล์ แต่ไม่ได้แจ้งอัพเดทอิมมิเกรชั่น
          ◙  2 x อีเมล์แจ้งปฏิเสธวีซ่าไปตกอยู่ใน Junk / Spam
          ◙  1 x เอเจนต์แจ้งให้ทราบช้า ! !

▓   ยื่นอุทธรณ์ไม่ทัน ปัญหาใหญ่ .... ถ้าไม่มีเหตุผลที่ดีมากๆและเข้าข้อกฏหมาย หน่วยงานอุทธรณ์ไม่รับพิจารณาเคส และทั้ง 3 เหตุผลที่ลิสไว้ ไม่ใช่เหตุผลที่ดี .... 3 ใน 4 เคสนี้ เป็นเคส PR ด้วย น่าเสียดายมากค่ะ บางเคสเราอาจจะมีทางทำอะไรได้ แต่ชีวิตไม่ง่ายแล้ว

▓   ช่วงนี้ Partner visa ถูกปฏิเสธกันเยอะ อย่าคิดว่า Stage 2 Partner visa ไม่ต้องใช้อะไรมาก ทำเคสแน่นๆไว้ก่อน จะได้ไม่มาเสียใจทีหลัง .... 2 ใน 4 เคสที่ยื่นไม่ทันนี่ก็ Stage 2 Partner visa ค่ะ ถูกปฏิเสธเพราะหลักฐานไม่แน่นพอ แล้วตอนนี้ก็ยื่นอุทธรณ์ไม่ทันอีก .... ปัญหาใหญ่ยังไง นอกจากยื่นอุทธรณ์ไม่ทัน

          ◙  ยื่นใหม่ในออสเตรเลีย ไม่ได้
          ◙  ค่ายื่น $8000+
          ◙  ถูกปฏิเสธเพราะไม่เชื่อเรื่องความสัมพันธ์ ไปรอลุ้นอยู่นอกประเทศว่าเคสยื่นใหม่อิมมิเกรชั่นจะเชื่อในความสัมพันธ์หรือไม่ .... ไม่มีวีซ่า ไม่ได้กลับมา

▓   ช่วงนี้อิมมิเกรชั่นเริ่มลงตรวจธุรกิจต่างๆเยอะขึ้น ตามนโยบายใหม่ของรัฐบาล

          ◙  นายจ้างที่สปอนเซอร์พนักงาน เก็บเอกสารที่ควรจะต้องมีให้เป็นระเบียบหาง่ายๆด้วย
          ◙  นายจ้างทั้งที่เป็นสปอนเซอร์และไม่ได้เป็น และลูกจ้างทั้งหลาย ทำอะไรไม่ถูกต้องอยู่ แก้ไขด้วย รอให้อิมมิเกรชั่นมาเจอ อาจจะไม่ใช่แค่การตักเตือน นายจ้างอาจจะต้องเสียค่าปรับ ติดบาร์ห้ามสปอนเซอร์ ลูกจ้างอาจจะถูกยกเลิกวีซ่า



Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com

5 นาที

8/10/2023

 

มีน้องถามมาว่า คำแนะนำฟรี 5 นาที ยังมีอยู่หรือไม่
ตอบ: ข้างล่างเป็นโพสที่เคยลงไว้นานหลายปีแล้ว ทุกอย่างยังเหมือนเดิม

░ ░ ░ ░ ░ ░ ░ ░ ░ ░


ปกติแล้วคนเขียนให้เวลา 5 นาที สำหรับน้องๆที่โทรมาถามคำถามนะคะ เงื่อนไขคือ

1. อะไรตอบได้ ตอบให้เลย

2. ถ้าตอบไม่ได้ เช่น
     *  เป็นเคสที่ต้องดูเอกสาร
     *  ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม
     *  เป็นเคสที่ไม่มีข้อมูลอยู่ในหัว (ใช่ค่ะ คนนะคะไม่ใช่คอมพิวเตอร์ ไม่สามารถจำทุกอย่างได้ และ กฏหมายก็
         เปลี่ยนกันอยู่ตลอด ถ้าไม่แน่ใจว่าจะให้คำตอบที่ถูกต้อง คนเขียนไม่ตอบนะคะ)
     *  เคสที่ต้องซักถามและอธิบายกันนานเกิน 5 นาที
เคสประมาณนี้ต้องนัดเวลารับคำปรึกษากันเป็นเรื่องเป็นราวนะคะ ซึ่งก็จะมีค่าบริการตามความยากง่าย ความด่วนไม่ด่วนของแต่ละเคส

3. เวลาคนเขียนรับโทรศัพท์ ก็ไม่ได้พูดภาษาไทยนะคะ เพราะคนที่โทรมาอาจจะไม่ใช่คนไทย บางครั้งเป็น
อิมมิเกรชั่น หน่วยงานอุทธรณ์ หน่วยงานอื่น หรือลูกความที่ไม่ใช่คนไทย ถ้าคนเขียนจับสำเนียงได้ว่าเป็นคนไทย
ก็จะรีบพูดไทยด้วย เพราะฉะนั้นไม่ต้องตกใจจนรีบวาง (ต้องบอก เพราะคนเขียนเจอวางหูใส่อยู่บ่อยๆ ตกใจเพราะเจอ Hello เป็นภาษาอังกฤษ พอรวบรวมกำลังใจได้ ก็โทรมาใหม่ แล้วเราถึงได้คุยกัน)

4. เวลา 5 นาที ไม่เยอะ แต่ก็ไม่น้อยค่ะ คนเขียนรับโทรศัพท์วันละหลายสาย ถ้าให้เวลามากกว่าคนละ 5 นาที (ซึ่งหลายๆครั้งก็เลย) คนเขียนก็จะไม่เหลือเวลาทำงานให้ลูกความ และด้วยความที่ทำงานด้านนี้มานาน คุยกันไม่กี่คำก็ทราบแล้วว่าสามารถตอบได้เลย หรือเป็นเคสที่ต้องดูเอกสารหรือต้องคุยต้องอธิบายกันนาน
      *  คำตอบแค่ทำได้ กับทำไม่ได้ บางครั้งก็มีประโยชน์ บางครั้งก็ไม่ได้ช่วยอะไร
      *  บางทีการตอบสั้นๆว่าทำได้ เป็นการให้ความหวังแบบผิดๆ เพราะเมื่อพิจารณาข้อมูลอื่นที่ก็สำคัญกับการ
          พิจารณาวีซ่าแล้ว คำตอบว่าทำได้ อาจจะไม่ถูกต้อง
      *  บางทีคำตอบว่าทำไม่ได้ ก็ไม่ถูก เพราะถ้าถามเจาะมาคำถามเดียว อาจจะตอบว่าทำไม่ได้ แต่พอได้ข้อมูล
          ลึกขึ้น เราอาจจะเจอข้อยกเว้นที่ทำให้ทำเคสได้

5. จะใช้เวลา 5 นาทีให้เป็นประโยชน์ได้ยังไง ก็ควรจะเรียบเรียงคำถามก่อนโทรมา กระชับ ได้ใจความ ไม่ต้องประหม่า คนเขียนก็คนไทยพูดไทยและชอบกินตำปูปลาร้าเหมือนหลายๆคน ไม่ต้องอารัมภบทเยอะ (ไม่ต้อง Hello กันไปมา ไม่ได้คุยกันซะที ไม่ต้องอ้อมโลก สวัสดีตามมารยาทที่ดีของคนไทยแล้วเข้าประเด็นได้เลย)

6. ขอแค่ไม่หยาบคายคนเขียนยินดีคุยด้วย (ถ้ายุ่งมาก อาจจะขอให้โทรมาใหม่)

7. เสียงดุ???? ทำใจค่ะ เสียงเป็นอย่างงี้เอง

8. รบกวนโทรในเวลาทำงาน จันทร์ - ศุกร์ 9 ถึง 5 

ป.ล. น้องๆที่ชอบโทรวันหยุด โทรดึกๆ ไม่รับก็โทรเป็นสิบๆหนจนกว่าจะรับนี่ บอกเลยว่าไม่สำเร็จนะคะ นอกจากไม่รับแล้ว คนเขียนอาจจะบล๊อคเบอร์ไปด้วยเลย


Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com

Partner visa สปอนเซอร์แฟนคนที่ 3

18/9/2022

 
คนเขียนมีน้องโทรมาถามกันเป็นระยะๆ

พี่คะ แฟนหนูเคยสปอนเซอร์แฟนมาแล้ว 2 คน เค้าจะสปอนเซอร์หนูได้ไหมคะ
พี่คะ แล้วถ้าหนูมีลูกด้วยกัน มันจะทำให้เคสง่ายขึ้นไหมคะ

คำถามสั้น คำตอบไม่สั้น -- คนเขียนไม่ค่อยตอบว่าทำได้ หรือทำไม่ได้ บอกตามตรงว่าคำตอบแบบนี้ สำหรับคนเขียนรู้สึกว่าเป็นคำตอบไร้สาระ ตอบแบบไม่มีความรับผิดชอบ
 * ตอบว่าทำได้ ก็เป็นคำตอบให้ความหวัง แต่จริงๆอาจจะทำไม่ได้
 * ตอบว่าทำไม่ได้ ก็เป็นคำตอบตัดความหวัง แต่จริงๆอาจจะทำได้ ก็ได้ 

กฏหมายคนเข้าเมืองอนุญาตให้สปอนเซอร์แฟนได้แค่ 2 คนค่ะ (Sponsorship limitation) ... ถ้าต้องการสปอนเซอร์แฟนคนที่ 3 ต้องโชว์เหตุผลน่าเห็นใจ แจกแจงไปว่าทำไมอิมมิเกรชั่นถึงควรจะอนุญาตให้สปอนเซอร์อีกได้ ซึ่งไม่ง่าย

แต่ละเคสเราต้องดูเนื้อหา เข้าใจเคสในรายละเอียด บางเคสต้องคิดหลายวัน บางเคสคิดกันเป็นเดือน บางเคสคิดไปตลอดระยะเวลาการทำงาน เพราะเป็นเคสความเสี่ยงสูง

ถ้าใครจับพลัดจับผลู ได้แฟนที่สปอนเซอร์ไปแล้ว 2 คน ทางเลือกของน้อง คือ
1. เลิก
2. เป็นแฟนกันไป แต่น้องหาวีซ่าอื่นยื่น ... ที่ไม่ใช่ Partner visa
3. ลุยไปข้างหน้ากับ Partner visa แต่เข้าใจว่าเคสไม่ง่าย เพราะต้องพิสูจน์เหตุผลน่าเห็นใจ

สำหรับปีนี้ คนเขียนจบเคสสปอนเซอร์แฟนคนที่ 3 ไป 2 เคส

เคสแรก เป็นคู่ต่าง (ชาย-หญิง) ไม่มีลูกด้วยกัน ----- ลูกความกลัวเคสยากไม่พอสำหรับคนเขียน ระหว่างรอเคส คุณสปอนเซอร์ก็ไปมีคดีอาญา ให้คนเขียนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพิ่มด้วย

เคสที่สอง เป็นคู่เหมือน  (ชาย-ชาย) ก็แน่นอน ไม่มีลูกด้วยกัน ----- เคสนี้ ระยะเวลาความสัมพันธ์ค่อนข้างสั้น และอิมมิเกรชั่นก็เรียกเคสเร็วกว่าที่คาดไว้ ...  แผนงาน (Strategy) ที่วางไว้ เป็นอันต้องปรับใหม่หมด แก้ปัญหาเฉพาะหน้าอีกแล้ว

ทั้งสองเคส ลูกความน่ารักมาก Proactive .... ขออะไร ได้ .... ให้ทำอะไร ทำ
ทั้งสองเคส คนเขียนแจ้งค่าใช้จ่ายชั้นอุทธรณ์เผื่อไว้เลยตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน เพราะเป็นเคสความเสี่ยงสูง (ทำงานกับคนเขียน ไม่มีโลกสวยนะคะ)
ทั้งสองเคส ได้เอาเงินเก็บที่เตรียมไว้สำหรับชั้นอุทธรณ์ไปทำอย่างอื่น เพราะเคสผ่านไปได้ด้วยดีที่ชั้นอิมมิเกรชั่น

เคสแรก (ชาย-หญิง) ใช้เวลาเกือบ 3 ปี
เคสที่สอง (ชาย-ชาย) ใช้เวลา 8 เดือน

ลูก .....  ถ้าจะมีลูกเพราะอยากมี จัดไป .... ถ้าจะมีลูก เพราะคิดว่าจะช่วยเรื่องวีซ่า ขอร้องอย่าทำ

1. ไม่แฟร์กับเด็กที่จะให้เค้าเกิดมาด้วยเหตุผลแบบนี้
2. ไม่มีลูกด้วยกัน เคสก็ผ่านได้
3. มีลูกด้วยกัน ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้เคสง่ายขึ้นเสมอไป คนตัดสินเคสทั้งชั้นอิมมิเกรชั้น และชั้นอุทธรณ์ ก็คนเหมือนเราๆนี่แหละ ... บางคนก็มีความเห็นอกเห็นใจ ... บางคนก็ไม่สน ไม่แคร์ ... และถ้าเคสถูกปฏิเสธ นอกจากตัวเองจะเดือนร้อนแล้ว ยังเอาเด็กตัวเล็กๆที่ไม่รู้เรื่องอะไร มาเดือนร้อนไปด้วย ... และถ้าบังเอิญความสัมพันธ์ไปไม่รอดล่ะ ??



Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com


น้องคนไหนส่งอีเมล์มา ช่วยอ่านหน่อยค่ะ

25/7/2021

 
น้องคนไหนส่งคำถามมาทางอีเมล์ น้อยมากที่คนเขียนจะไม่ตอบ และส่วนใหญ่จะตอบภายใน 1-3 วัน (แล้วแต่ความยุ่งและโอกาสของแต่ละวัน) ถ้าไม่ได้รับอีเมล์ตอบกลับ

  1. เช็ค Junk or Spam mailbox
  2. เช็ค Mailbox เต็มหรือเปล่า ปกติจะลองส่งใหม่ 2-3 รอบถ้ายังเด้งกลับมาเพราะเมล์เต็ม คนเขียนก็ไม่ทราบจะทำยังไง
  3. ใครส่งคำถามผ่าน "Contact us" จาก Immigration Success Australia website พิมพ์อีเมล์ตอบกลับของตัวเองให้ถูกต้องด้วย

ส่วนน้อยที่คนเขียนจะไม่ตอบอีเมล์ ก็เช่น คำถามกว้างๆสั้นๆ ประมาณ "หนูอยากทำพีอาร์ค่ะ"  "ผมอยากไปออสเตรเลีย ต้องทำยังไง"  ถ้าให้ข้อมูลมาแค่นี้ บอกตามตรงว่าไม่ทราบว่าจะตอบยังไงเหมือนกัน จะให้อธิบายวีซ่าทุกประเภทก็คงไม่ไหว

เพราะฉะนั้น

สั้น กระชับ ได้ใจความ = ตอบได้ ตอบ | ถ้าตอบไม่ได้ เพราะรายละเอียดไม่พอ ต้องดูเอกสาร หรือต้องอธิบายกันยาว คนเขียนจะแจ้งรายละเอียดของการทำคอนซัลในอีเมล์ตอบกลับเลย

คนเขียนเป็นประเภทม้วนเดียวจบนะคะ ตอบกลับไปกลับมาทีละประโยค  สองประโยค ไม่ใช่สไตล์การทำงานของคนเขียน ถ้าไม่ทราบว่าจะเขียนยังไงให้สั้น กระชับ ได้ใจความ โทรเลยค่ะ 5 นาที Free advice


Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com


กฏเปลี่ยน 1 July 2021

2/7/2021

 
ไม่ทั้งหมด แต่สรุปมาให้เท่าที่สรุปได้นะคะ

  1. Partner visa ที่มีข่าวว่าสปอนเซอร์จะต้องยื่นใบสมัครและได้รับอนุมัติก่อน ผู้สมัครถึงจะยื่นใบสมัครวีซ่าได้ ณ ตอนนี้ (2 July 21 9pm) ยังไม่ปรับใช้นะคะ คาดว่าจะปรับใช้ในปีนี้แหละค่ะ (เมื่อไหร่ ยังไม่ได้ประกาศออกมา)
  2. ค่ายื่นวีซ่าหลายๆตัว (แต่ไม่ทุกตัว) ขึ้นราคา เช็คค่ายื่นกันที่นี่ค่ะ
  3. ค่ายื่น Citizenship application ก็ขึ้นราคา เช็คได้ที่นี่
  4. ค่ายื่นอุทธรณ์ Migration Review application ขึ้นราคา เป็น $3000
  5.  ค่าอุทธรณ์ Refugee Review application (Protection visa ด้วย) = $1846 (ชำระถ้าแพ้คดี)
  6. ค่าตรวจสุขภาพก็ขี้นราคาค่ะ เช็คได้ที่นี่
  7. ใบสมัคร Bridging visa E ยื่นผ่านอีเมล์ไม่ได้แล้วนะคะ เป็นทาง ImmiAccount หรือทางเมล์/courier เท่านั้น (คนเขียนเชื่อว่าประเด็นนี้ไม่กระทบน้องๆเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็ยื่นผ่าน ImmiAccount กัน จะมีก็ Professionals บางคน รวมถึงคนเขียนด้วย ที่บางทีก็ยื่นผ่านอีเมล์ด้วยเหตุผลทางเทคนิค)
  8. อาชีพยอดฮิต Chef ตอนนี้อยู่ใน Priority Migration Skilled Occupation List (PMSOL) ด้วย  อาชีพอยู่ใน PMSOL ดียังไง ดีเพราะ Nomination และวีซ่าแบบมีนายจ้างสปอนเซอร์จะได้รับการพิจารณาเร็ว (Priority Processing)

The Priority Migration Skilled Occupation List
ตอนนี้มี 41 อาชีพ (* คืออาชีพที่เพิ่มมาเมื่อ June 2021):


  • Chief Executive or Managing Director (111111)
  • Construction Project Manager (133111)
  • Accountant (General) (221111)*
  • Management Accountant (221112)*
  • Taxation Accountant (221113)*
  • External Auditor (221213)*
  • Internal Auditor (221214)*
  • Surveyor (232212)*
  • Cartographer (232213)*
  • Other Spatial Scientist (232214)*
  • Civil Engineer (233211)*
  • Geotechnical Engineer (233212)*
  • Structural Engineer (233214)*
  • Transport Engineer (233215)*
  • Electrical Engineer (233311)*
  • Mechanical Engineer (233512)
  • Mining Engineer (excluding Petroleum) (233611)*
  • Petroleum Engineer (233612)*
  • Medical Laboratory Scientist (234611)*
  • Veterinarian (234711)
  • Orthotist or Prosthetist (251912)*
  • General Practitioner (253111)
  • Resident Medical Officer (253112)
  • Psychiatrist (253411)
  • Medical Practitioners nec (253999)
  • Midwife (254111)
  • Registered Nurse (Aged Care) (254412)
  • Registered Nurse (Critical Care and Emergency) (254415)
  • Registered Nurse (Medical) (254418)
  • Registered Nurse (Mental Health) (254422)
  • Registered Nurse (Perioperative) (254423)
  • Registered Nurses nec (254499)
  • Multimedia Specialist (261211)*
  • Analyst Programmer (261311)*
  • Developer Programmer (261312)
  • Software Engineer (261313)
  • Software and Applications Programmers nec (261399)*
  • ICT Security Specialist (262112)*
  • Social Worker (272511)
  • Maintenance Planner (312911)
  • Chef (351311)*

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com


แชร์ประสบการณ์ Partner visa

27/6/2021

 
วันนี้คนเขียนมาแชร์เคสวีซ่าคู่ครองที่ค่อนข้างซับซ้อน 2 เคส

เคสแรก

ลูกความรักกัน แต่งงานกันที่ไทย คนนึงตัดสินใจมาเรียนที่นี่ อีกคนทำงานอยู่ที่ไทย ต้องห่างกันนานหลายปี ระยะทางและความห่างเป็นปัญหา ไม่มีอะไรจะคุยกัน สุดท้ายหาเรื่องทะเลาะกัน ลงเอยที่การหย่ากันตามกฏหมายออสเตรเลีย

กลับมาเจอกันไม่นานหลังจากหย่า สรุปว่ายังรักกัน เปลี่ยนใจจะไม่หย่าแล้ว (คือคิดว่าแต่งที่ไทย หย่าที่ออสเตรเลีย ระบบไม่ลิงค์กัน ไม่บอกก็ไม่มีใครรู้) .... ไม่ทันแล้วค่ะ หย่าก็คือหย่า แต่งที่ไทยและหย่าที่ออสเตรเลียก็คือหย่าอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ไม่ต่างอะไรกับการหย่าที่ไทย (ใครมีปัญหาคล้ายๆกัน และคิดว่าไทยกับออสเตรเลีย ระบบไม่ลิงค์กัน ไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ว่าใครแต่งใครหย่า ขอร้องว่าอย่า shortcut ถ้าไม่อยากมีปัญหาให้ปวดหัวที่หลัง ... ปวดหัวมากด้วย PIC4020 การให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง false or misleading information ถ้าถูกเช็คเจอ ใบสมัครอาจจะถูกปฏิเสธพร้อมติดบาร์อีก 3 ปี)

เคสนี้ Strategy ของเราหลายสเต็ป เข้าตามตรอกออกตามประตูแบบสุดๆ ปัญหาคืออิมมิเกรชั่นอาจจะคิดว่าการหย่าก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าหมดรักกัน ไม่มั่นคงต่อกันจริงๆ (not a genuine and committed relationship) ประกอบกับลูกความอยู่กันคนละประเทศมานาน ทะเลาะกัน ห่างกัน หย่ากัน เอกสารพิสูจน์ความสัมพันธ์ก็น้อยมาก คำอธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆสำหรับเคสนี้

เคสนี้เราทำงานด้วยกัน 4 ปีกว่า ตั้งแต่ลูกความหย่ากันยันได้พีอาร์ (Strategy ได้ผล ไม่มีถูกปฏิเสธ ไม่ต้องไปอุทธรณ์ เย้) ลูกความก็อยู่ซิดนีย์เหมือนคนเขียน แต่เราก็ไม่เคยเจอกัน 

เพราะฉะนั้นน้องๆที่ถามว่าเราจะทำงานด้วยกันยังไงเพราะน้องอยู่ไทย/อยู่ต่างรัฐ  คนเขียนอยู่ซิดนีย์ .... ทำได้ค่ะ ผ่านอีเมล์ + โทรศัพท์ (+ apps ต่างๆที่เหมาะสม)


เคสที่สอง

ลูกความคู่นี้ (หรือสองคู่นี้) ไม่ใช่คนไทยค่ะ แต่เป็นลูกความคนเขียนมา 10 ปีได้    ... เดี๋ยวนะ ... อย่าเพิ่งคิดว่าทำเคสยังไงใช้เวลา 10 ปี !

ลูกความเดิมทีเป็นคู่เหมือนค่ะ อายุต่างกันหลายสิบปี ตอนทำเคสนี้คนเขียนก็ว่าเสี่ยงอยู่แล้วเพราะอายุห่างกันมาก แต่ความรักไม่มีขอบเขต ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดอายุใช่ไหม สรุปว่าผ่านค่ะ ได้พีอาร์สมใจ

วันดีคืนดีลูกความติดต่อมา
ลูกความ:   ชั้นเลิกกับแฟนแล้วนะ
คนเขียน:   อ้าว... เสียใจด้วยนะ
ลูกความ:   ไม่เป็นไร ชั้นมีแฟนใหม่แล้วนะ
คนเขียน:   ว้าว... ดีใจด้วยนะ
ลูกความ:   เป็นคนละเพศแล้วนะ และอยากให้ทำเคสให้
คนเขียน:   ......

อึ้งไปนาน หลังจากหายอึ้งก็สัมภาษณ์แบบเจาะลึก คนเขียนไม่ได้สงสัยว่าความสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เราอยู่ในยุคที่เปิดกว้างและยอมรับว่าอะไรๆก็เป็นไปได้ทั้งนั้น  แต่กังวลแทนลูกความว่าอิมมิเกรชั่นจะคิดยังไงกับประวัติแบบนี้ บอกเลยว่าเป็นเคสความเสี่ยงสูง เคสอาจจะถูกปฏิเสธ เราอาจจะต้องไปถึงชั้นอุทธรณ์ สรุปว่าลูกความยืนยันว่าจะให้คนเขียนทำเคสให้ ...... สรุปว่าทำก็ทำ ... การวางแผนงาน (Strategy) การอธิบายความสัมพันธ์เป็นจุดสำคัญของเคสอีกแล้ว

Stage 1 ผ่านฉลุยอย่างรวดเร็ว
Stage 2 ถูกดอง 2 ปีกว่า
(อย่าคิดว่า Stage 2 เป็นอะไรที่ง่ายๆ แค่ยื่นเอกสารประมาณเดิมก็พอนะคะ ไม่เสมอไปค่ะ ลูกความที่ติดต่อมาหาคนเขียนหลังจากที่ถูกปฏิเสธ Stage 2 ก็เยอะ)

หลายครั้งที่ลูกความโทรมาถามว่าทำไมนานจังเลย เพื่อนยื่นทีหลังได้พีอาร์แล้ว โทรตามไหม อยากได้พีอาร์เร็วๆ  

คำอธิบายของคนเขียนคือ อย่าเอาเคสของตัวเองไปเทียบกับเคสเพื่อน เคสเพื่อนมีประเด็นแบบนี้ไหม (ไม่มี) Processing Centre หรือเจ้าหน้าที่คนเดียวกันไหม (ไม่ทราบ) 

สำหรับบางเคส (รวมถึงเคสนี้ด้วย) คนเขียนไม่ตามค่ะ อยากดองๆไป ในระหว่างถูกดองก็พัฒนาความสัมพันธ์ไป ถามว่าถ้าเคสแน่น อิมมิเกรชั่นจะเอาจุดไหนมาปฏิเสธ

ตามเร็วแล้วอาจจะถูกปฏิเสธ กับถูกดองแล้วอาจจะผ่าน เลือกเอา

ไม่มีใครอยากรอ อยากได้วีซ่าเร็วๆกันทั้งนั้น การที่ทนายความหรือเอเจนต์ตามเคสให้ ลูกความก็แฮ๊ปปี้เพราะดูเหมือนได้รับความเอาใจใส่ แต่บางเคสที่ไม่ได้ตาม ไม่ได้แปลว่าลืมหรือไม่ใส่ใจ .... ไม่มีใครต้องการให้ลูกความไม่แฮ๊ปปี้หรอกค่ะ 

การอีเมล์ตามเคสกับอิมมิเกรชั่น คนเขียนใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที + ลูกความแฮ๊ปปี้
คนเขียนใช้เวลา 15-30 นาที ในการอธิบายเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ตามเคสให้ + ความเสี่ยงที่ลูกความก็จะยังไม่แฮ๊ปปี้ต่อไป
เพราะฉะนั้น ....... ถ้าตามเคสแล้ว มีผลดีกับเคส คนเขียนก็ทำไปแล้ว (make sense ไหมคะ)

บางเคสไม่มีใครตอบได้ว่าจะออกหัวหรือก้อย ทำได้แค่ดีที่สุด ถ้ารักกันจริงและไม่มีทางเลือกอื่น ก็ต้องลุยไปข้างหน้า ไม่ลองไม่รู้ (ใช่ไหม) ทั้ง 2 เคส คนเขียนวาง Strategy ให้ลูกความแบบคร่าวๆ ทราบอยู่แล้วว่าเคสแบบนี้เราคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง แผนก็ต้องปรับเปลี่ยนกันไปตามหน้างาน คนเขียนไม่ชอบให้ความหวังลูกความ รับได้กับความเสี่ยงเราก็ทำงานด้วยกันได้ 

ทั้งสองเคสลูกความรู้ตั้งแต่ต้นว่าโอกาสที่เคสจะถูกปฏิเสธที่สเต็ปใดสเต็ปหนึ่งมีสูง คนเขียนไม่เคยรับประกันความสำเร็จของงาน ทำได้แค่ดีที่สุด ทั้งสองเคสเราผ่านในทุกสเต็ปค่ะ

ป.ล. นานๆทีก็จะมีน้องโยนหินถามทางมาว่าคนเขียนรับทำเคสจ้างแต่ง เพื่อนช่วยเพื่อน ญาติช่วยญาติไหม
ตอบกันชัดๆไปเลยนะคะ
  - ถ้าความสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่รับทำเคส
  - ถ้ารับเคสมาแล้ว มาทราบระหว่างทาง ก็เลิกทำเคสระหว่างทาง
  - ถ้าความสัมพันธ์เป็นเรื่องจริง ต่อให้คบกันมาไม่นาน ต่อให้มีความยุ่งยากซับซ้อนแค่ไหน ถ้าคุณยอมรับความเสี่ยงได้ คนเขียนไม่มีปัญหาในการทำเคสให้ (คนเขียนไม่แคร์เรื่อง 100% success rate ถ้า play safe ตลอด ลูกความที่เคสยากแต่อยากลอง ก็พลาดโอกาส และคนเขียนก็พลาดโอกาสที่จะได้พัฒนาตัวเองด้วย)



Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com


NEWS อิมมิเกรชั่นเตรียมออกวีซ่าให้โดยไม่ต้องเดินทางออกนอกประเทศ

12/2/2021

 
ข่าวดีสำหรับหลายๆคน ....... อิมมิเกรชั่นประกาศมาแล้วนะคะว่า

ตั้งแต่วันที่ 27 February 2021 --- อิมมิเกรชั่นคาดว่าจะออกวีซ่าต่อไปนี้ให้ได้ในประเทศออสเตรเลีย (ผู้สมัครไม่ต้องออกไปรอนอกประเทศ)


  • Partner (subclass 309) visa
  • Prospective Marriage (subclass 300) visa
  • Dependent Child (subclass 445) visa
  • Child (subclass 101) visa
  • Adoption (subclass 102) visa

และตั้งแต่วันที่ 24 March 2021 --- ก็คาดว่าจะออกวีซ่าต่อไปนี้ให้ได้ในประเทศออสเตรเลีย

  • Contributory Parent (subclass 143) visa
  • Contributory Parent (subclass 173) visa
  • Parent (subclass 103) visa

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com


Q & A : สปอนเซอร์ / Sponsor สำหรับ Partner visa

24/1/2021

 
Q: สอบถามเรื่อง partner visaค่ะ

แฟนเป็น citizen ค่ะ เคยประสบอุบัติเหตุ รัฐบาลว่าเป็น disability ตอนนี้กลับไปทำงานปกติ และลาออกจากงานแล้วเพราะกำลังจะมี business ร่วมกัน  จากข้อมูลเบื้องต้น แฟนสามารถเป็น sponsor ให้ได้ไหมคะ


A: มีคำถามประมาณนี้มาให้ตอบอยู่เรื่อยๆนะคะ ขอตอบในนี้แล้วกันจะได้เป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วย

สำหรับกฏหมาย ณ ปัจจุบัน สปอนเซอร์จะตกงาน จะ disable หรือจะทำธุรกิจส่วนตัว ไม่ใช่ประเด็นที่อิมมิเกรชั่นจะดูในส่วนของสปอนเซอร์ค่ะ



Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com


Q & A : Partner visa & สถานะการทำงานและการเงินของสปอนเซอร์

4/1/2021

 
Q: ระหว่างหาข้อมูลเรื่อง partner visa บังเอิญเจอ blog นี้ขึ้นมา มีคำถามที่สงสัยว่าถ้าจะทำ partner visa de facto กับแฟน ซึ่งเราสองคนอยู่ในประเทศออสเตรเลียทั้งคู่ แฟนเป็น citizen ที่นี่ ตัวเราถือวีซ่า 485 แต่ตอนนี้เค้า unemployed ไม่ทราบว่าอิมมิเกรชั่นเค้าจะดูตัวคนสปอนเซอร์รึเปล่าคะว่าหน้าที่การงานเป็นยังไง financial situation เป็นยังไงบ้าง

A: กฏหมาย ณ ปัจจุบัน ไม่ดูค่ะ (อนาคตอาจจะเปลี่ยนได้)


Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com


Q & A : Partner visa & Bridging visa A (BVA)

13/11/2020

 
Q: ขณะนี้อาศัยอยู่ออสเตรเลียด้วย Visitor Visa ต้องการยื่นขอ Partner Visa แบบ onshore  แต่ติดตรงที่ระหว่างรอวีซ่าตัวจริง ทำอย่างไรถึงจะสามารถเรียนและทำงานในออสเตรเลียไปด้วยได้ เข้าใจว่า BVA ที่จะได้ระหว่างรอ จะเป็นเงื่อนไขเดียวกับ Visitor Visa subclass 600 ที่ถืออยู่ ณ ปัจจุบัน

ขอคำแนะนำเบื้องต้น เรื่องว่าควรยื่นประเภทวีซ่าที่เหมาะสม ที่จะสามารถเรียนและทำงานในออสเตรเลียได้


A: ตอนที่ถือวีซ่าท่องเที่ยวก็ทำตามเงื่อนไขวีซ่าท่องเที่ยว เมื่อ Bridging visa เริ่มมีผลบังคับใช้ สามารถเรียนและทำงานได้ค่ะ 
 
จากข้อมูลที่ให้มาซึ่งค่อนข้างจำกัด Partner visa น่าจะเป็นวีซ่าที่เหมาะสมแล้วนะคะ แต่ไม่ทราบรายละเอียดลึกๆ ก็ไม่ทราบว่าเคสจะมีประเด็นอะไรให้ต้องกังวลหรือไม่



Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com


NEWS for Partner visa

7/10/2020

 
Federal Budget ที่ประกาศมาเมื่อวาน (6 October 2020) ที่เกี่ยวข้องกับ Partner visa ก็จะมีตามนี้นะคะ

  • ผู้สมัครวีซ่าแบบในประเทศออสเตรเลีย และคนที่มีสปอนเซอร์อาศัยอยู่ Regional areas (เมืองรอบนอก) จะได้ Priority คือจะได้รับการพิจารณาก่อน
  • ผู้สมัคร Partner visa และสปอนเซอร์ที่เป็นพีอาร์ ต้องมีผลภาษาอังกฤษ - UPDATE: ผลภาษาอังกฤษที่ต้องการคือ Functional English หรือเรียน Adult Migrant English Program:AMEP 510 ชั่วโมง ก่อนยื่น Stage 2 Permanent Partner visa (ความเห็นส่วนตัวนะคะ คนเขียนคิดว่า Functional English เป็นระดับที่สูงเกินไปสำหรับ Partner visa และก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถไปเรียน AMEP ได้ ไม่ว่าจะเป็นภาระทางครอบครัว ที่อยู่อาจจะไกลจากที่เรียน)
  • สปอนเซอร์ต้องยื่น Sponsorship application และต้องได้รับอนุมัติ ก่อนที่ผู้สมัครจะยื่น Partner visa application ได้ (เรื่องนี้คนเขียนเคยโพสไว้นานแล้ว เพราะกฏหมายออกมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่อิมมิเกรชั่นยังไม่เอามาปรับใช้กับ Partner visa แต่เมื่อมีประกาศใน Federal Budget คาดว่าคงจะปรับใช้เร็วๆนี้)
  • การตรวจเช็คประวัติคดีอาญาจะเข้มงวดขึ้น

ทั้งหมดนี้เป็นประกาศนะคะ ส่วนจะปรับใช้เมื่อไหร่และรายละเอียดลึกๆจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องติดตามกันต่อไป

ใครพร้อมยื่นก่อนกฏเปลี่ยนก็ยื่นค่ะ แต่ดูให้ดีๆว่าเคสพร้อมยื่นจริงๆ

เคส Partner visa ไม่ใช่แค่มีแฟนเป็น Australian citizen หรือพีอาร์เป็นอันจบนะคะ มีเงื่อนไขอื่นๆอีกเยอะแยะเคสที่ถูกปฏิเสธเพราะประเด็นอื่นก็เยอะค่ะ ยื่นวีซ่ากันด้วยความระมัดระวัง


Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com

แชร์ประสบการณ์ Consultation รอบที่ 2

5/10/2020

 
คนเขียนมีน้องๆนัดขอคำปรึกษาเบื้องต้น (Initial Consultation) กันเป็นปกตินะคะ บางคนก็

  • ชัดเจนมาเลยว่าต้องการทำวีซ่าอะไร (แต่บางครั้งคนเขียนก็เสนอวีซ่าตัวอื่นที่เหมาะสมกว่า)
  • ไม่ทราบอะไรเลยและต้องการหาแนวทาง หรือวางแผนอนาคต
  • มีปัญหาด่วนมาให้แก้ไขให้
  • มีเวลาตั้งเยอะแต่ไม่ทำอะไร เหลือ 1 อาทิตย์บ้าง 3 วันบ้าง
  • วีซ่าจะหมดวันพรุ่งนี้ วันนี้เพิ่งติดต่อมา

ปกติคนเขียนไม่ทำงานวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ  บางวัน 5ทุ่ม เที่ยงคืน ตี3 ยังนั่งทำงาน แต่จะพยายามเลิกรับโทรศัพท์หลัง 1ทุ่ม

สำหรับเคสด่วน นัดปรึกษาวันเสาร์อาทิตย์ หรือแม้กระทั่ง 3-4 ทุ่ม คนเขียนก็จัดให้นะคะ แต่ด่วนของลูกความ กับด่วนของคนเขียน คนละเรื่องกัน เช่น


  • ลูกความเพิ่งแพ้ที่ชั้นอุทธรณ์มา ต้องการทราบว่าจะอุทธรณ์ต่อหรือจะกลับไทยดี เคสนี้มี 35 วัน จริงๆเคสนี้ไม่ด่วน แต่ไฟล์กลับไทยช่วงโควิดมีไม่เยอะ และเต็มเร็วมาก เพราะฉะนั้นเวลาเป็นเรื่องสำคัญ และอาจจะมีผลกระทบกับวีซ่าของลูกความในอนาคต (ถ้าตัดสินใจจะกลับ แต่กลับไม่ได้ก่อนวีซ่าหมด) เคสนี้คนเขียนดูเคสให้วันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็น 3 วัน Long weekend สงสารตัวเองนิดนึง แต่ด่วนก็คือด่วน จัดให้
  • เคสที่ลูกความถูกเอเจนต์ลอยแพ และมี deadline คนเขียนก็ดูเคสให้แบบด่วน ส่วนจะรับทำเคสหรือไม่อีกเรื่องนึง
  • เคสที่วีซ่าจะหมดวันพรุ่งนี้ แต่เพิ่งติดต่อมา อันนี้ด่วนของคุณ ไม่ด่วนสำหรับคนเขียนนะคะ

เข้าเรื่องดีกว่า ...... คนเขียนก็จะมีลูกความบางคนที่เคยทำ Initial Consultation แล้ว หายไปพักนึง ก็ขอนัดอีกรอบ หรืออีก 2 รอบ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร รอบแรกอาจจะเป็นการหาแนวทาง รอบสองอาจจะพร้อมทำเรื่องยื่นวีซ่า หรือติดปัญหาอะไรบางอย่าง หรือสถานะของลูกความเปลี่ยน หรือกฏหมายเปลี่ยน

เคส Consultation รอบที่ 2 ที่คนเขียนแอบเซ็ง(และเสียดายแทน) ก็จะประมาณ 4 เคสข้างล่างค่ะ


เคสที่ 1

Initial Consultation .... เคส Partner visa .... ลูกความไม่ถือวีซ่า คนเขียนแนะนำเคสนี้ให้ยื่นในประเทศออสเตรเลียเท่านั้น โน๊ตตัวโตๆไว้ในไฟล์ว่า "Complex case - Onshore only"   เหตุผลคือนอกจากจะไม่ถือวีซ่าแล้ว ประวัติทางวีซ่าก็ dodgy จะด้วยความตั้งใจหรือได้รับคำแนะนำผิดๆคนเขียนไม่ทราบ รวมถึงประวัติส่วนตัว ที่คนเขียนเชื่อว่าถ้าออกไปแล้วจะไม่ได้กลับเข้ามา

4 ปี ผ่านไป ลูกความติดต่อมาขอ Consultation รอบที่ 2 ... ปรากฏว่าตอนนี้กลับประเทศตัวเองไปแล้ว ..... 
       
                                                                       What!  Why?

                     .... ก็แนะนำแล้วว่าไม่ให้กลับ ให้ยื่น Onshore = ยื่นในประเทศออสเตรเลีย

ลูกความบอกว่าขอโทษนะที่ตอนนั้นไม่เชื่อยู หลังจากที่คุยกันเสร็จ เอาไปเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนแนะนำคนอื่นที่เป็นคนชาติเดียวกันให้ เลยใช้บริการเค้าแทน ถูกเรียกเก็บเงินตลอดแล้วไม่ทำอะไรให้เลย .....  4 ปีผ่านไป คนนี้ก็แนะนำให้กลับออกไปยื่น Offshore Partner visa บอกว่าง่ายและเร็ว นี่กลับมาประเทศตัวเองได้หลายเดือนแล้ว เงินก็โอนไปแล้ว เค้ายังไม่ได้ยื่นวีซ่าให้ แถมติดต่อไม่ได้ด้วย

เคสนี้มีตั้งแต่การอยู่เกินวีซ่า เปลี่ยนชื่อกลับมาใหม่ ไม่แจ้งชื่อเดิม ยื่นสาระพัดวีซ่า รวมถึง Protection visa ยื่นเอกสารปลอม อยู่เกินวีซ่าต่ออีก 10 กว่าปี ที่สำคัญมีประวัติคดีอาญาร้ายแรง ประเภทที่อิมมิเกรชั่นจะต้องปฏิเสธวีซ่า ยกเว้นว่าจะมีเหตุผลน่าเห็นใจ ..... (ประวัติทางวีซ่าโชกโชนขนาดนี้ ความเห็นใจของอิมมิเกรชั่นจะมีเหลืออยู่แค่ไหน ..... แถมตอนนี้ลูกความอยู่นอกออสเตรเลีย เหตุผลหลายๆอย่างที่อาจจะเอามาใช้ได้ ถ้าลูกความอยู่ในออสเตรเลียก็หายไปด้วย) .... เพราะฉะนั้นยื่น Offshore ไม่มีทางง่ายและเร็ว ..... มีความเป็นไปได้สูงมากที่อาจจะไม่ได้กลับเข้ามาอีกนาน หรืออาจจะไม่ได้กลับเข้ามาอีกเลย

คนเขียนบอกเลยว่าในบางเคส Offshore is NOT an option!  และการพยายามหาทางให้ลูกความอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียต่อ ง่ายกว่าการพยายามเอาลูกความกลับมานะคะ


เคสที่ 2

Initial Consultation .... ลูกความไม่ถือวีซ่า ติด section 48 บาร์ด้วย ทางเลือกสำหรับทำพีอาร์ไม่มี คนเขียนคิดว่ากลับไทยติดบาร์ 3 ปีน่าจะดีกว่า ดูประวัติแล้ว หลังบาร์ 3 ปี น่าจะมีโอกาสได้กลับมา

7 ปีผ่านไป ลูกความติดต่อมาขอ Consultation รอบ 2 ...... ปรากฏว่าตอนนี้ก็ยังอยู่ที่นี่ เชื่อเพื่อนและนายหน้ายื่น Protection visa ไปเรียบร้อย จากนั้นก็ไปอ่านเจอจากหลายแหล่ง รวมถึง VisaBlog ของคนเขียนด้วยว่าไม่ควรยื่น Protection visa ตอนนี้เริ่มกังวลกับผลเสียที่จะตามมา

คนเขียนก็งงกับเคสนี้นะคะ จะว่าไฺม่เคยรู้จักคนเขียนมาก่อนก็ไม่ใช่ เพราะเคยนัดปรึกษากันมาแล้ว แทนที่จะปรึกษาว่าควรหรือไม่ควรยื่น Protection visa ก่อนยื่น ก็ไม่ทำ ...... ยื่นไปแล้ว ค่อยมากังวล ค่อยมาหาคำปรึกษา .... ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าน้องคิดอะไร


เคสที่ 3

Initial Consultation ..... เคส Partner visa เป็นเคสที่ตรงไปตรงมา ไม่ได้มีประเด็นซีเรียสอะไรที่น่ากังวล แต่คนเขียนก็อธิบายเงื่อนไข Requirements ของ Partner visa และบอกจุดที่ควรระวังให้ทราบ น้องถามว่า
ถาม ...... จำเป็นต้องใช้บริการคนเขียนไหม
ตอบ ..... น้องต้องถามตัวเองว่าเข้าใจกฏหมาย เงื่อนไข เอกสาร หลักฐาน ของการทำ Partner visa แค่ไหน แต่ละคนก็มีขีดความสามารถแตกต่างกันไป คนที่ทำเองแล้วผ่านก็เยอะแยะ คนที่ทำเองแล้วถูกปฏิเสธก็มี เคสที่มาให้คนเขียนทำอุทธรณ์ให้ก็เยอะ
ถาม ...... ถ้าน้องจะทำเคสเอง และเสียค่าปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำเป็นระยะๆ และให้คนเขียนตรวจเช็คเอกสารให้ก่อนยื่นล่ะ
ตอบ ..... ไม่มีบริการนี้ค่ะ สำหรับคนเขียนมีแค่ 2 ทาง ทำเคส หรือไม่ทำเคส  เคส Partner visa เหมือนกัน แต่ Strategy (แผนการทำงาน) ของแต่ละเคสไม่เหมือนกัน เคสที่ไม่มีประเด็นซีเรียส ไม่ได้แปลว่าไม่มีจุดที่ควรระวัง บางเคสเราเห็นปัญหาระหว่างการเตรียมยื่น และการตัดสินใจยื่นหรือไม่ยื่นเอกสารบางชิ้น นำเสนอหรือไม่นำเสนอข้อมูลบางอย่างเป็นอะไรที่ต้องคิด ต้องตัดสินใจทั้งนั้น  สำหรับคนเขียน Quality control เป็นเรื่องสำคัญ และเคสที่มาให้ดูแลแบบครึ่งๆกลางๆเป็นอะไรที่ Control ยากมาก

ลูกความตัดสินใจทำเคสเอง

...... 2 ปีผ่านไป ลูกความขอนัด Consultation รอบ 2 ... ส่งคำตัดสินปฏิเสธ Partner visa มาให้อ่าน พลาดไปกับการเลือกเอกสารพิสูจน์ความสัมพันธ์


เคสที่ 4

Initial Consultation .... ลูกความเลิกกับแฟนคนเดิม มีแฟนคนใหม่ คนเขียนแนะนำวีซ่าที่คิดว่าเหมาะสมให้ และแนะนำให้ Declare ข้อมูลกับอิมมิเกรชั่น เคสนี้ลูกความอยู่ในจุดที่ไม่มีหน้าที่ต้อง Declare  แต่สำหรับเคสนี้ Strategically แล้ว ลูกความควร Declare

ลูกความหายไป 2 ปีกว่า ขอนัด Consultation รอบ 2 เคสถูกปฏิเสธเพราะประเด็นนี้เลย ถามว่าแนะนำแล้วทำไมถึงไม่ทำ ลูกความบอกว่ายื่นวีซ่าที่คนเขียนแนะนำ แต่ให้เอเจนต์อีกคนดูแลเคสและยื่นวีซ่าให้ ซึ่งเอเจนต์บอกว่าไม่มีหน้าที่ต้อง Declare ก็ไม่ต้อง Declare ก็เลยทำตามที่เอเจนต์แนะนำ ...... 

ทนาย และเอเจนต์แต่ละคนก็มีสไตล์การทำงาน และ Strategy (แผนการทำงาน) ของแต่ละเคสแตกต่างกันไปนะคะ  ชอบสไตล์การทำงานแบบไหน   ชอบ Strategy ของใคร  ใช้บริการคนนั้น   คนที่วาง Strategy ให้  โดยปกติก็จะมีแพลนอยู่ในหัวแล้ว (หวังว่านะ) ว่ารายละเอียดและสเต็ปการเดินเคส รวมถึงการยื่นเอกสารควรจะเป็นแบบไหนและเพราะอะไร และถ้าอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างทาง ควรจะเดินเคสต่อยังไง



Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com


Q & A : Partner visa ประวัติคดีอาญา

9/7/2020

 
Q: แฟนมีประวัติคดีอาญา หนูต้องกลับประเทศไทยไหมคะ เค้าบอกว่าเค้าสปอนเซอร์หนูไม่ได้แล้ว นี่เค้าก็จองตั๋วให้หนูกลับไทยแล้วด้วย

A: อย่างที่โพสไปหลายครั้งแล้วว่าอะไรตอบได้ก็จะตอบให้เลย แต่บางคำถาม (เช่นคำถามนี้) ไม่ดูเอกสาร ไม่เข้าใจที่มาที่ไปของเคส หมดปัญญาตอบค่ะ เช่นน้องยื่น Partner visa หรือยัง และยื่นที่ไหน อยู่ที่ออสเตรเลียด้วยวีซ่าอะไร ประวัติคดีอาญาของแฟนมีรายละเอียดยังไง

สปอนเซอร์มีประวัติคดีอาญาไม่ได้แปลว่าเคสจะต้องไม่ผ่านทุกเคส ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆอย่าง เช่นคดีอะไร ร้ายแรงไหม เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ผู้สมัครมีใครบ้าง มีเด็กพ่วงมาด้วยหรือไม่  บางคดีถึงแม้จะร้ายแรงก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเคส Partner บางคดีต่อให้ไม่ร้ายแรงมากแต่ก็จะมีผลกระทบกับเคส Partner visa โดยตรง และถึงจะมีผลกระทบกับเคส น้องก็ยังสามารถยื่นเอกสารและข้อมูลเพิ่มเติมขอให้อิมมิเกรชั่นพิจารณาเห็นใจด้วยเหตุผล บลา บลา บลา... (ยังไม่ทราบว่าบลา บลา บลา คืออะไร แต่ละเคสก็ไม่เหมือนกัน)

คนเขียนเคยทำเคสที่ประวัติคดีอาญาของสปอนเซอร์ยาว 2 หน้ากระดาษ และหลายคดีที่อยู่ในลิสก็เป็นคดีร้ายแรงซะด้วย ยังผ่านมาได้เลย 

เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าสปอนเซอร์มีคดีอาญา เคสชั้นเป็นอันจบกัน (อาจจะรอดก็ได้)
และอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าสปอนเซอร์มีคดีอาญา ก็ไม่เป็นไรง่ายๆสบายๆ (อาจจะไม่รอดก็ได้)

เคสของแต่ละคนรายละเอียดก็ไม่เหมือนกันนะคะ เคสใครเคสมัน ไม่ควรเอามาเปรียบเทียบหรือใช้เป็นบรรทัดฐาน บางเคสต่อให้ถูกปฏิเสธที่ชั้นอิมมิเกรชั่น อาจจะมีโอกาสชนะที่ชั้นอุทธรณ์ เคสของน้องจำเป็นต้องพิจารณาในรายละเอียดนะคะ ไม่มีข้อมูลก็ไม่ทราบจะตอบยังไงค่ะ

"แฟนจองตั๋วให้หนูกลับไทยแล้วด้วย" - คำถามคือได้พยายามแล้วหรือยัง ได้ให้โอกาสตัวเองแล้วหรือยัง ได้ขอคำแนะนำจาก Professional แล้ว และได้บทสรุปว่าเคสจบไม่มีทางไป หรือคิดเองเออเองว่าเคสต้องจบ แปลว่าความสัมพันธ์ก็จบด้วยรึเปล่า และถ้าน้องยื่น Partner visa ไปแล้ว ค่ายื่นก็เกือบ $8000 จะถอดใจง่ายไปรึเปล่า

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com


Partner visa - Grant time for Stage 2 - PR

7/5/2020

 
ช่วงนี้เทรนการพิจารณา Stage 2 Partner visa (PR) คือ เร็วถึงเร็วมากนะคะ คนเขียนมีโอกาสได้แจ้งข่าวดีให้กับน้องๆหลายคนเลย

ต้องขอบคุณอิมมิเกรชั่นที่ถึงแม้จะไม่ได้ประกาศอะไรออกมา แต่เราก็ทราบได้จากการกระทำว่าหน่วยงานใน
อิมมิเกรชั่นเองก็พยายามช่วยหลายๆคนให้ได้พีอาร์โดยเร็ว

พอได้พีอาร์แล้ว หลายๆคนก็อาจจะได้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินที่รัฐบาลเสนอช่วยอยู่ ณ ตอนนี้ เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19

น้องๆที่ยื่นเอกสาร Stage 2 Partner visa ไปแล้ว อาจจะสงสัยว่าเราจะได้วีซ่าเร็วๆกับเค้าบ้างไหม ไม่มีใครตอบได้ แต่อย่างนึงที่น้องๆทำได้คือ

- เช็คเอกสารของตัวเองว่ายื่นเอกสารครบตามที่อิมมิเกรชั่นต้องการหรือไม่ (Decision Ready Application)

- ยื่นเอกสารครบไม่พอนะคะ เอกสารที่ยื่นต้องมีคุณภาพด้วย

- มีประเด็นอะไรที่อาจจะเป็นปัญหาหรือไม่ ถ้ามี เป็นประเด็นง่ายๆที่เราสามารถนำเสนอได้เลย เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณา หรือเป็นประเด็นที่เราไม่ควรจะไปเปิดประเด็น (งงใช่ไหมล่า .... มันอธิบายยากนะตรงนี้ มันคือ Strategy การทำงานของแต่ละเคส)  ถ้าแนวโน้มเป็นประเด็นปัญหาใหญ่ ก็คงไม่ต้องหวังการพิจารณาที่รวดเร็วนะคะ เอาแค่หวังผ่านดีกว่า เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

ในเคส Stage 2 ของคนเขียน ก็มีประเด็นแตกต่างกันไป ยกตัวอย่าง 2 เคส

เคสนี้ประเด็นง่าย แต่ลูกความคิดมากเกินไป overthinking ไม่อยากให้ใส่รายละเอียดบางอย่าง เพราะกลัวว่าเคสจะเกิดปัญหา แต่ถ้าไม่ให้รายละเอียดก็ดูเหมือนความสัมพันธ์จะไม่แน่น คนเขียนพิจารณาแล้วไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาตรงไหน อยู่ที่การนำเสนอมากกว่า สรุปลูกความยอมทำตามคำแนะนำ เคสผ่านไปแล้วอย่างรวดเร็ว นอกจากจะได้พีอาร์เร็วแล้ว ยังได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลด้วย

อีกเคสนึง ลูกความทำ Stage 1 กับเอเจนต์อื่น แต่ไม่แฮ๊ปปี้ มาให้คนเขียนดูแล Stage 2 ให้ (ค่ะ เปลี่ยนเอเจนต์ระหว่างทางก็ทำได้ ถ้าไม่แฮ๊ปปี้ อย่าทน)   แน่นอนเคสแบบนี้ต้องเช็คประวัติและเอกสารกันค่อนข้างเยอะ โดยสรุปคือ
- ลูกความถึงกำหนดยื่น Stage 2 ตั้งแต่ 15 เดือนก่อนที่จะมาเจอคนเขียน (คือเลทไป 15 เดือนแล้ว ยังไม่ได้ยื่นเอกสารเลย) คือเอเจนต์ไม่ได้แจ้งให้ทราบ ไม่ได้แนะนำอะไรเลย
- ถามไปถามมาน้องมีลูกด้วย ลูกแต่ละคน ก็มีปัญหาเฉพาะของตัวเอง และมีทั้งอยู่ไทย และที่ออสเตรเลีย แถมคนที่อยู่ที่ออสเตรเลียวีซาก็กำลังจะหมด
- สปอนเซอร์ก็มีประวัติคดีอาญาชนิดที่ถ้าพ่วงลูกด้วย เคสอาจจะมีปัญหา
- การเงินก็ต้องเอามาพิจารณา เนื่องจากมีลูกหลายคน พ่วงลูกด้วยค่าใช้จ่ายโดยรวมถูกกว่าการได้พีอาร์คนเดียวแล้วค่อยมาทำวีซ่าให้ลูกๆภายหลัง
- จะยื่น Stage 2 คนเดียว หรือจะพ่วงลูกด้วยดี ตอนนี้ก็เลทมาตั้ง 15 เดือนแล้ว จะพ่วงลูกมีหลายสเต็ปที่ต้องทำ ยิ่งเลทไปกันใหญ่  บวกประวัติคดีอาญาของสปอนเซอร์เข้าไปให้กังวลอีก

อ่านข้างบน อาจจะคิดว่าคนเขียนคงแนะนำให้ยื่นคนเดียวให้รอดก่อนค่อยหาทางเอาลูกมา แต่ไม่ค่ะ หลังจากนั่งคิดนอนคิดตีลังกาคิด บวกกับการทำ Research และวางแผนงาน (Strategy) คนเขียนแนะนำให้ทำเรื่องพ่วงลูกเลย  ไหนๆก็เลทมา 15 เดือนแล้ว ก็เลทกันต่อไป (Why not?) แต่เลทแบบอยู่ในความดูแลของคนเขียน แผนต้องมา งานต้องเดิน ไม่ใช่เลทแบบตามมีตามเกิดไม่ทำอะไรเลย  ถ้านับจากวันที่ Stage 2 Partner visa พร้อมพิจารณา เคสนี้ใช้เวลา 5 เดือน ซึ่งถือว่าเร็วมากสำหรับเคสแบบนี้ (ก่อนหน้านี้เราก็ลุยกับเคสของลูกๆและประวัติของสปอนเซอร์ไป เหนื่อยแต่จบ ได้พีอาร์พร้อมกันทุกคน แถมประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกเยอะ)

ป.ล.1  ไม่ใช่ทุกเคสที่ควรจะพ่วงลูกนะคะ บางเคสก็ต้องยอมยืดเยื้อ และเสียค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า เอาตัวเองให้รอดก่อน เรื่องลูกค่อยว่ากันภายหลัง

ป.ล. 2   ช่วงนี้มีน้องๆถามกันมาเยอะนะคะว่าเคยถูกปฏิเสธวีซ่า หรือเคยถูกยกเลิกวีซ่า ติด Section 48 บาร์ หรือตอนนี้ไม่ถือวีซ่า จะยื่น Partner visa ในประเทศออสเตรเลียได้ไหม  ...... คำตอบคือยื่นได้ค่ะ คนเขียนทำเคสประมาณนี้มาแล้วหลายเคส เช่นเคสนี้ หรือโพสนี้ ....แต่... เคสที่ติด Section 48 บาร์ ไม่ใช่ทุกเคสนะคะที่เหมาะสมกับการยื่นแบบในประเทศออสเตรเลีย

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

ถาม-ตอบ COVID-19 กับผลกระทบต่อวีซ่า

28/3/2020

 
โพสนี้ คนเขียนรวบรวมคำถามที่น้องๆถามเข้ามาเกี่ยวกับผลกระทบกับวีซ่าจาก COVID-19 นะคะ

Original post: 28 March 2020 ตัวหนังสือสีเทาอ่อน
Update 1: 4 April 2020 ตัวหนังสือสีน้ำเงิน          



ถือวีซ่าท่องเที่ยว ไม่ติด 8503 (No further stay condition)

===>>  ยื่นขอต่อวีซ่าท่องเที่ยว หรือมีวีซ่าตัวอื่นที่เรามีคุณสมบัติถึงก่อนวีซ่าตัวเดิมหมดอายุ


ถือวีซ่าที่ติด No further stay condition : 8503, 8534 หรือ 8535

===>>  ยื่นขอยกเว้นเงื่อนไข No further stay แต่เนิ่นๆ 2 เดือนก่อนวีซ่าตัวเดิมหมดอายุ เพราะระยะการพิจารณาต้องใช้เวลาพอสมควร

===>> เมื่ออิมมิเกรชั่นยกเว้นเงื่อนไข ก็สามารถยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวหรือวีซ่าตัวอื่นที่เรามีคุณสมบัติถึง

===>> ยื่นขอวีซ่าตัวใหม่ก่อนได้รับยกเว้นเงื่อนไข = Invalid application 


ถือวีซ่า 457 หรือ 482 แต่นายจ้างให้หยุดงานชั่วคราว เพราะธุรกิจต้องปิดให้บริการตามรัฐบาลกำหนด

===>>  ใช้ Annual leave (paid leave) ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ใน Employment Contract นอกจากจะยังมีรายได้แล้ว ยังสามารถนับเวลาสำหรับการยื่น PR ได้ด้วย

===>>  นายจ้างให้หยุดแบบไม่จ่ายค่าจ้าง (stand down) หรือมีการทำ Leave without pay ควรมีการทำบันทึกไว้ด้วยนะคะเผื่ออิมมิเกรชั่น (Monitoring Unit) มาตรวจในภายหลัง อย่าลืมว่านายจ้างมีหน้าที่ต้อง Keep records

===>> ตามนโยบายของอิมมิเกรชั่น Leave without pay 3 เดือนไม่น่าจะมีปัญหา โน๊ตว่าตอนนี้อิมมิเกรชั่นใช้ Flexible approach (ยืดหยุ่นให้ตามสถานการณ์ของแต่ละเคส ย้ำที่ขีดเส้นใต้) ซึ่ง ณ จุดนี้ยังไม่ชัดเจนว่า Flexible approach คือแค่ไหน ยังไงบ้าง  โน๊ตว่าระยะเวลาที่ใช้ Leave without pay โดยปกติจะนับเป็นเวลาสะสมสำหรับการยื่น PR ไม่ได้นะคะ (ถ้านโยบายเปลี่ยน หรือมีอัพเดทอะไร ก็จะมาอัพเดทให้ทราบที่โพสนี้)

===>>  สามารถนับเวลาระหว่างหยุดงานชั่วคราวสำหรับการยื่น PR ได้ ไม่ว่าจะหยุดแบบได้รับหรือไม่ได้รับค่าจ้าง

===>>  รัฐอนุญาตให้ถอนเงินจาก Superannuation fund ได้ $10,000 สำหรับปีภาษีนี้


ถือวีซ่า 457 หรือ 482 แต่นายจ้างให้หยุดงานชั่วคราว เพราะธุรกิจต้องปิดให้บริการตามรัฐบาลกำหนด สามารถทำงานที่อื่นในระหว่างที่นายจ้างให้หยุดงานได้ไหม

===>>  ตามกฏหมายแล้วไม่ได้ค่ะ  สำหรับวีซ่า 457 ผิดเงื่อนไข 8107  ส่วนวีซ่า 482 ผิดเงื่อนไข 8607
คือนายจ้างใหม่ต้องมี Approved Nomination ก่อน เราถึงจะทำงานได้โดยไม่ผิดเงื่อนไขวีซ่า พอนายจ้างเดิมเรียกตัวกลับไปทำงาน นายจ้างเดิมก็ต้องทำ Nomination ใหม่และรอ Approve ก่อน เราถึงจะกลับไปทำงานได้ค่ะ

===>>  แล้วจะอยู่ยังไง ยังต้องกินต้องใช้ ยังมีค่าใช้จ่าย นั่นแหละคือปัญหา ซึ่งอิมมิเกรชั่นทราบ และคนเขียนคาดว่า (wishful thinking) อิมมิเกรชั่นจะมีประกาศแนวทางที่ยืดหยุ่นในประเด็นนี้เร็วๆนี้ค่ะ  (ถ้ามีความคืบหน้า จะมาอัพเดทให้ที่โพสนี้นะคะ)
  
===>>  รัฐอนุญาตให้ถอนเงินจาก Superannuation fund ได้ $10,000 สำหรับปีภาษีนี้


ถือวีซ่า 457 หรือ 482 แต่นายจ้างเลิกจ้างถาวร

===>>  หางานใหม่ที่นายจ้างพร้อมจะสปอนเซอร์และยื่น Nomination application ภายใน 60 วัน 

===>>  ตอนนี้อิมมิเกรชั่นใช้ Flexible approach (ยืดหยุ่นให้ตามสถานการณ์ของแต่ละเคส) อาจจะยืดหยุ่นในเรื่องเวลา แต่ก็ยังไม่มีประกาศออกมา เพราะฉะนั้น พยายามหานายจ้างใหม่ให้ได้ภายใน 60 วัน  ถ้าหาไม่ได้ ก็ไปลุ้นกับ Flexible approach ของอิมมิเกรชั่นเอาดาบหน้าค่ะ

===>>  รัฐระบุว่าถ้าถูกเลิกจ้างและหาสปอนเซอร์ใหม่ไม่ได้ภายในเงื่อนไข 60 วัน ก็ควรจะกลับออกไปค่ะ (คือยังไม่มีความยืดหยุ่นในส่วนนี้) 

===>>  ถ้ามีการ Re-employed หลังจากเรื่อง COVID-19 จบลง ก็สามารถนับเวลาการทำงานในประเทศออสเตรเลียสำหรับการยื่น PR ได้ (โน๊ตว่าตอนนี้คนเขียนไม่แน่ใจว่าหมายถึงการ Re-employed โดยนายจ้างเดิมเท่านั้น หรือนายจ้างใหม่ก็สามารถนับเวลาได้ด้วย รอประกาศเพิ่มเติมค่ะ)



ถือวีซ่า 457 หรือ 482 แต่นายจ้างลดชั่วโมงการทำงาน และลดค่าจ้าง

===>>  จริงๆแล้วทำไม่ได้นะคะ เพราะ 457 และ 482 เป็นวีซ่าที่นายจ้างสปอนเซอร์มาทำงาน full-time ในตำแหน่งที่ขาดแคลน

===>>  ตอนนี้ยังไม่มีประกาศจากอิมมิเกรชั่นที่จะยกเว้นเงื่อนไข full-time แต่คนเขียนคิดว่า (wishful thinking อีกแล้ว) อิมมิเกรชั่นน่าจะประกาศแนวทางที่ยืดหยุ่นในประเด็นนี้เร็วๆนี้ เพราะเป็นสถานการณ์ที่ธุรกิจส่วนใหญ่จะต้องเลือกระหว่างลดชั่วโมง ลดค่าจ้าง vs หยุดงานแบบไม่มีค่าจ้าง vs เลิกจ้าง

===>>  ถ้านายจ้างไม่มีทางเลือกและจำเป็นที่จะต้องลดชั่วโมงการทำงานและลดค่าจ้าง อย่างนึงที่ควรจะต้องทำให้ได้ คือจ่ายค่าจ้างในเรทที่ถูกต้องในลักษณะ Pro-rata คือเคยจ่ายชั่วโมงละเท่าไหร่ตอนทำงาน full-time ก็จ่ายชั่วโมงละเท่าเดิม ไม่มีการลดเรทค่าแรงนะคะ 

===>>  นายจ้างสามารถลดชั่วโมงการทำงานได้โดยไม่ผิด Sponsorship obligations และลูกจ้างก็ไม่ผิดเงื่อนไขวีซ่า 


ถือ Bridging visa A ระหว่างรอผลการพิจารณาวีซ่า 186 แต่นายจ้างให้หยุดงานชั่วคราวแบบไม่จ่ายค่าจ้าง เพราะธุรกิจต้องปิดให้บริการตามที่รัฐบาลกำหนด

===>>  ไม่มีปัญหาค่ะ ธุรกิจเปิดเมื่อไหร่ก็กลับไปทำต่อนะคะ

===>>  รัฐอนุญาตให้ถอนเงินจาก Superannuation fund ได้ $10,000 สำหรับปีภาษีนี้


ตอนนี้ยื่นใบสมัครวีซ่าถาวร หรือวีซ่า 820 (Stage1 Partner visa) ไปแล้ว อยู่ระหว่างรอการพิจารณา

===>>  ขอ Medicare ได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องรอให้วีซ่าเดิมหมดอายุ ยื่นใบสมัครเรียบร้อยก็ยื่นขอ Medicare ได้เลยค่ะ

===>> ขอ Stimulus package จาก Centrelink ไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิ์ของคนที่ถือพีอาร์ หรือเป็น Australian citizen เท่านั้น

===>>  ตอนนี้มีหลายๆหน่วยงานพยายามล๊อบบี้ให้รัฐบาลให้ความช่วยเหลือคนที่ถือวีซ่าชั่วคราวด้วย แต่ยังไม่มีนโยบายอะไรออกมานะคะ

===>>  รัฐอนุญาตให้ถอนเงินจาก Superannuation fund ได้ $10,000 สำหรับปีภาษีนี้


ตอนนี้ถือวีซ่าทำงาน 491, 494 (Regional visas)

===>>  ขอ Medicare ได้ค่ะ  แต่ขอ Stimulus package จาก Centrelink ไม่ได้ (อ่านข้างบนนะคะ)

===>>  รัฐอนุญาตให้ถอนเงินจาก Superannuation fund ได้ $10,000 สำหรับปีภาษีนี้


ตอนนี้อยู่ที่ออสเตรเลีย แต่วีซ่าหมดอายุไปแล้ว

===>>  ติดต่อขอคำแนะนำค่ะ อาจจะยังมีวีซ่าที่สามารถยื่นได้

===>>  ถ้าต้องการแค่รอเวลาสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย กลับไทยได้เมื่อไหร่ก็จะกลับและไม่ได้คิดที่จะขอวีซ่าอื่น ติดต่ออิมมิเกรชั่นเพื่อขอ Bridging visa E เพื่อที่จะอยู่ที่นี่ได้อย่างถูกกฏหมายในระหว่างรอ


ตอนนี้อยู่ประเทศไทย แต่กลับมาที่ออสเตรเลียไม่ได้ และ Bridging visa B หมดอายุ

===>>  Bridging visa B ต่ออายุไม่ได้ และไม่สามารถสมัครได้ถ้าอยู่นอกประเทศออสเตรเลีย เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย อาจจะลองยื่นใบสมัครวีซ่าท่องเที่ยว หรือวีซ่าอื่นที่มีคุณสมบัติถึง


ตอนนี้อยู่ประเทศไทย ถือวีซ่านักเรียน แต่กลับเข้ามาไม่ได้

===>>  ติดต่อโรงเรียน หรือ Education Agent เพื่อทำเรื่องขอ Defer คอร์ส

===>>  ถ้าวีซ่านักเรียนหมดอายุในระหว่างที่อยู่ไทย เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ก็ต้องยื่นใบสมัครเพื่อขอวีซ่านักเรียนตัวใหม่ค่ะ


ตอนนี้เรื่องอยู่ที่ชั้นอุทธรณ์ AAT จะต้องรออีกนานไหม

===>>  AAT ยังพิจารณาเคสอยู่นะคะ การ Hearing ก็จะเป็นทางโทรศัพท์ หรือ Video link แทน ความล่าช้า (จากที่ปกติก็ล่าช้าอยู่แล้ว) ก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้นะคะ เพราะต้องปรับเปลี่ยนหลายอย่างให้เหมาะสมกับสถานการณ์ COVID-19 แต่อย่างน้อย AAT ก็ยังไม่ได้มีประกาศหยุดการพิจารณา


ป.ล. มีหลายคำถามที่คนเขียนก็ไม่มีคำตอบให้นะคะ ต้องรอรัฐบาลหรืออิมมิเกรชั่นประกาศเพิ่มเติม ก็ตอบให้เท่าที่ตอบได้ และจะมาอัพเดทให้เมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติม  คำถามเกี่ยวกับ Centrelink รบกวนถามหน่วยงานโดยตรงนะคะ


Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

ฺBE honest โปรดแจ้งชื่อเดิม และประวัติที่ถูกต้องในใบสมัครวีซ่า

8/2/2020

 
นานๆทีก็จะมีน้องโทรมาถามประมาณนี้

"พี่ครับผมเคยไปออสเตรเลียและหนีวีซ่ามาระยะนึง ถูกจับได้และส่งกลับ ตอนนี้อยู่ไทย เอเจนต์แนะนำให้ผมเปลี่ยนชื่อแล้วไปขอพาสปอร์ตด้วยชื่อใหม่ นี่ผมไปเปลี่ยนชื่อมาแล้ว กำลังจะไปทำพาสปอร์ต พี่ว่าผมจะได้วีซ่าไหมครับ "

อารมณ์คนเขียนก็ประมาณ

"โอ้โหน้อง เอเจนต์ที่ไหนคะเนี่ยแนะนำแบบนี้" 

เอเจนต์คงไม่ได้แนะนำให้เปลี่ยนชื่อ เผื่อชื่อใหม่จะทำให้ดวงดีได้วีซ่าหรอกค่ะ  คาดว่าเอเจนต์ตั้งใจจะยื่นวีซ่าให้โดยใช้ชื่อใหม่ ไม่แจ้งชื่อเดิม เผื่ออิมมิเกรชั่นจะไม่เจอว่าน้องเคยมีประวัติหนีวีซ่า

การไม่แจ้งชื่อเดิมในใบสมัคร อาจจะมีผลกระทบกับวีซ่าได้นะคะ โดยเฉพาะในกรณีที่ชื่อเดิมมีประวัติไม่ดีแบบนี้ ถ้าอิมมิเกรชั่นตรวจเจอเข้าในระหว่างพิจารณาวีซ่า นอกจากอาจจะถูกปฏิเสธวีซ่าเพราะประวัติเดิมแล้ว ยังอาจจะถูกติดบาร์ 3 ปี (PIC 4020) จากการให้ข้อมูลที่ไม่เป็นจริงด้วย ถ้าบังเอิญโชคดีได้วีซ่า ก็ไม่ได้แปลว่าอนาคตจะไม่มีปัญหา ต่อให้หมกเม็ดไปตลอดรอดฝั่งจนได้พีอาร์ ได้เป็นพลเมือง อิมมิเกรชั่นก็อาจจะมาเจอประวัติเก่าเข้าจนได้

คนเขียนเอาเคสที่เพิ่งอ่านเจอเมื่อเร็วๆนี้มาแชร์นะคะ

เคสนี้คือเข้ามาด้วยวีซ่าท่องเที่ยว พบรัก แต่งงาน ขอวีซ่าคู่ครอง ความสัมพันธ์ไปไม่รอด ไม่ได้พีอาร์และกลับประเทศไป  ต่อมาพบรักใหม่กับออสซี่อีกคน แทนที่จะขอวีซ่าคู่ครองตามปกติซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เอเจนต์กลับแนะนำให้เปลี่ยนชื่อก่อนยื่น เพื่อที่จะยื่นวีซ่าคู่ครองด้วยชื่อใหม่โดยไม่แจ้งชื่อเดิม คือประวัติใสค่ะ เสมือนไม่เคยขอวีซ่า

สรุปว่าได้วีซ่าคู่ครองกับแฟนใหม่ด้วยชื่อใหม่ และต่อมาก็ได้เป็นพลเมืองด้วยชื่อใหม่ ......18 ปีผ่านไปอิมมิเกรชั่นไปเจอเข้าโดยบังเอิญ (เดี๋ยวนี้ระบบคอมพิวเตอร์เค้าเริ่ดนะคะ) โดนยกเลิกการเป็นพลเมือง เจ้าตัวขอความเห็นใจว่าเค้ามีลูกและก็ลงหลักปักฐานที่นี่มา 18 ปีแล้ว และที่ทำแบบนั้นก็เพราะเอเจนต์แนะนำให้ทำ ....  คืออิมมิเกรชั่นหรือศาลไม่ค่อยฟังหรอกนะคะเหตุผลประมาณนี้ เพราะคุณเองก็ต้องมีวิจารณญาณคิดได้เองด้วยว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ใบสมัครของคุณถือว่าคุณเป็นคนให้ข้อมูลจะมีคนช่วยหรือไม่ก็แล้วแต่ (เพราะฉะนั้นต่อให้ใช้บริการเอเจนต์หรือทนาย ก็ต้องใส่ใจเคสตัวเองค่ะ no ifs no buts)

ถ้าตั้งใจจะเปลี่ยนชื่อเพื่อให้ประวัติใสสะอาด อย่าทำค่ะ ไม่คุ้ม

ถ้าเปลี่ยนชื่อเพราะเชื่อเรื่องดวง แต่งงาน หย่า หรือด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แจ้งชื่อเก่าและประวัติเก่าให้อิมมิเกรชั่นทราบด้วยค่ะ จะได้พีอาร์ และอนาคตจะต่อยอดไปเป็นพลเมือง ก็เอาให้แน่ใจว่าได้มาแล้วมันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต 

คนเขียนมีเคสน้องคนนึงเคยถือวีซ่าท่องเที่ยว จากนั้นก็ถือวีซ่านักเรียนอีก 2-3 ตัว น้องมาให้คนเขียนดูแลในส่วนของวีซ่าคู่ครองให้   ถามไปถามมาได้ความว่าในใบสมัครวีซ่าท่องเที่ยวและวีซ่านักเรียน น้องแจ้งว่า Never married (ไม่เคยแต่งงาน / โสด) และไม่เคยมีชื่ออื่น แต่ในความเป็นจริงน้องเคยแต่งงาน เคยหย่า และเคยเปลี่ยนชื่อมา 6 หน !!!

คนเขียนแจ้งให้น้องทราบถึงโอกาสที่จะเกิดปัญหา PIC 4020 (การให้ข้อมูลไม่ถูกต้องในใบสมัครเดิม อาจจะทำให้ใบสมัครใหม่ถูกปฏิเสธและติดบาร์ 3 ปี)  น้องบอกว่า "แหมพี่คะ พี่ก็ทำให้มันเหมือนที่เอเจนต์เดิมทำสิคะ ไม่ต้องแจ้งอะไรทั้งนั้น" คนเขียนก็บอกว่า "น้องคะ น้องมาทางไหนน้องไปทางนั้นเลยค่ะ" .... ล้อเล่นค่ะ ไม่ได้พูด (แค่คิดในใจ)

คนเขียนบอกน้องว่าทำแบบนั้นไม่ได้ค่ะ 1. ผิดจรรยาบรรณ   2. พีอาร์เป็นวีซ่าถาวร น้องอยากได้พีอาร์ระยะสั้น หรือพีอาร์ระยะยาว ถ้าได้พีอาร์แล้วถูกยกเลิกภายหลัง หรือได้เป็นพลเมืองแล้วถูกยกเลิก รับได้ไหม

มีทางเลือกให้น้อง 2 ทางคือ 1. ใช้บริการคนเขียน Declare ทุกอย่างตามความเป็นจริง แน่นอนคนเขียนจะช่วยอย่างเต็มที่เท่าที่ทนายคนนึงจะทำได้โดยไม่ผิดจรรยาบรรณ เคสเสี่ยงถูกปฏิเสธไหม เสี่ยงแน่นอน แต่ถ้าผ่านเราก็ได้วีซ่ามาอย่างถูกต้อง ไม่ต้องมากังวลว่ากรรมจะตามทันเหมือนเคสที่เล่าให้ฟังข้างบน  2. ไปใช้บริการคนอื่นได้เลยค่ะ

น้องตัดสินใจใช้บริการค่ะ เคสแบบนี้เป็นเคสต้องคิดเยอะค่ะ Strategy การทำงานต้องมี ว่าจะนำเสนอเคสแบบไหนให้เคสดูดีที่สุด ต้องคิดเผื่อแผนสอง แผนสาม (อย่ามาถามหาการันตี เคสง่ายแค่ไหนก็ไม่เคยการันตี เพราะคนเขียนไม่ใช่คนตัดสินเคส)  เราทำเต็มที่แล้วเราก็ลุ้นผลไปด้วยกัน เตรียมใจเผื่อต้องยื่นอุทธรณ์กันไว้เรียบร้อย แล้วเราก็ผ่านมันมาได้ที่ชั้นอิมมิเกรชั่น โดยไม่มีการขอเอกสารหรือข้อมูลเพิ่มเติมเลย ตอนนี้น้องก็เป็นพีอาร์ไปแล้ว เมื่อพร้อมขอเป็นพลเมืองก็ไม่น่าจะเจอปัญหาอะไร เพราะเราเซ็ตข้อมูลของลูกความให้อิมมิเกรชั่นทราบอย่างถูกต้องแล้ว ไม่ต้องกลัวเผลอ ไม่ต้องกลัวเจอประวัติหมกเม็ดอีกต่อไป .....จริงๆ ระหว่างทางเราก็เจอประวัติคดีอาญาของน้องด้วย หลังจากที่ Declare ไปแล้วว่าไม่มีประวัติ น้องบอกว่า "หนูไม่รู้ หนูลืม" Great! - คนเขียนไม่รู้เหมือนกันว่าเรารอดมาได้ยังไง

สรุปว่า Declare (แจ้ง) ชื่อทุกชื่อ สถานะ และประวัติของเราอย่างถูกต้องค่ะ ถ้าปัญหาจะเกิดก็ให้มันเกิดซะตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะขอวีซ่าชั่วคราว หรือวีซ่าพีอาร์ ถ้าหมกเม็ดแล้วต้องมาตามแก้ปัญหา = ความเสี่ยงสูง/ ค่าใช้จ่ายสูง/ เสียเครดิต (หมดความน่าเชื่อถือ) หมกเม็ดไปเรื่อยๆก็อาจจะเจอแจ็คพอตแบบเคสข้างบน ถูกยกเลิกการเป็นพลเมืองหลังจากลงหลักปักฐานสร้างอนาคตที่นี่ไปเรียบร้อยแล้ว (เคสที่ถูกยกเลิกการเป็นพลเมืองมีอยู่เรื่อยๆนะคะ นี่แค่ตัวอย่างเดียว บางเคสที่หมกเม็ดเอาไว้ เรื่องก็มาแดงเอาตอนขอเป็นพลเมืองนี่แหละค่ะ ผลคือถูกปฏิเสธการเป็นพลเมือง และก็ถูกยกเลิกพีอาร์ บางเคสไม่ได้กระทบแค่ตัวเอง ลูกและคู่ครองก็พลอยโดนไปด้วย)

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer

www.immigrationsuccessaustralia.com

Partner visa วีซ่าคู่ครอง กฏเปลี่ยนกำลังจะมา

29/11/2018

 
UPDATE: 12 April 2019

ถึงแม้กฏหมายใหม่เกี่ยวกับ family sponsorship จะให้มีผลบังคับใช้วันที่ 17 April 2019

ทางอิมมิเกรชั่นได้ชี้แจ้งมาว่า ในวันที่ 17 April 2019 กฏหมายใหม่นี้จะนำมาปรับใช้กับวีซ่าใหม่ก่อน ซึ่งก็คือ วีซ่าผู้ปกครอง (วีซ่าพ่อแม่) แบบชั่วคราว  Sponsored Parent (Temporary) visa

ส่วนวีซ่าคู่ครอง Partner visa จะยังไม่เอากฏใหม่นี้มาปรับใช้  สรุปว่าเคสของน้องๆที่วีซ่าใกล้จะหมดและยังไม่ได้ยื่น Partner visa ก็ยังพอมีเวลาค่ะ   ส่วนเคสที่ได้ยื่นไปแล้วก่อนหน้าที่จะมีประกาศนี้  ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีค่ะ เพราะอิมมิเกรชั่นก็ไม่ได้แจ้งมาว่าจะนำกฏหมายใหม่มาปรับใช้กับ Partner visa เมื่อไหร่  ซึ่งก็แปลว่าเมื่อไหร่ก็ได้นับแต่วันที่ 17 April 2019 เป็นต้นไป เพราะมีกฏหมายมารับรองแล้ว

ค่ายื่นวีซ่าต่างๆ ก็จะมีการขึ้นราคาอีก 5.4% นับจากวันที่ 1 July 2019


UPDATE: 9 April 2019

กฏใหม่ จะเริ่มปรับใช้วันที่ 17 April 2019 นะคะ


UPDATE: 23 January 2019

จากที่คนเขียนโพสไปเมื่อวันที่ 29 November 2018 ว่ามีร่างกฏหมายผ่านทั้งสภาล่างและสภาสูงเมื่อวันที่ 28 November 2018 (อ่านเนื้อหาเดิมได้ด้านล่าง)

ร่างกฏหมายนี้ ออกมาเป็นกฏหมายเมื่อวันที่ 10 December 2018 นะคะ ที่คนเขียนไม่ได้อัพเดทให้ทราบก่อนหน้านี้ เพราะต้องการจะรอดูว่าจะให้มีผลบังคับใช้เมื่อไหร่ และในทางปฏิบัติอิมมิเกรชั่นจะปรับใช้ยังไง จะได้อัพเดทให้ทราบกันรอบเดียว .... แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า

.... แปลว่า..จะปรับใช้เมื่อไหร่ก็ได้ในช่วง 6 เดือนนับจากวันที่ผ่านเป็นกฏหมาย ส่วนอิมมิเกรชั่นจะประกาศกฏเปลี่ยนให้ทราบล่วงหน้า หรือประกาศแล้วปรับใช้ทันทีเลย ก็ต้องรอดูกันต่อไปค่ะ


Original post: 29 November 2018

โพสนี้มาแบบสั้นๆ แต่สำคัญอีกแล้วค่ะ

มีร่างกฏหมายผ่านทั้งสภาล่างและสภาสูงเมื่อวานนี้นะคะ ยังไม่เป็นกฏหมาย แต่เนื่องจากผ่านทั้งสองสภามาแล้ว ก็คาดว่าจะเป็นกฏหมายเร็วๆนี้ ส่วนรายละเอียดลึกๆจะเป็นยังไง จะมีผลบังคับใช้เร็วหรือช้าแค่ไหน ต้องคอยดูกันต่อไป อาจจะประกาศออกมาก่อนและปรับใช้ใน 1-6 เดือน (แจ้งล่วงหน้า) หรืออาจจะเหมือนตอนกฏเปลี่ยนของ 457 ประกาศแล้วมีผลเลย ก็เซอร์ไพร์สและรับสภาพกันไป

กฏปัจจุบัน - ใบสมัครวีซ่าคู่ครอง (Partner visa) และใบสมัครสปอนเซอร์จะยื่นไปพร้อมๆกัน หรือจะยื่นใบสมัครสปอนเซอร์ตามหลังก็ได้

กฏที่ "คาดว่า" จะนำมาปรับใช้ (จากจุดประสงค์ของร่างกฏหมายฉบับนี้ บวกกับข้อมูลที่อิมมิเกรชั่นได้ประกาศไว้นานแล้ว)  คือต้องการให้สปอนเซอร์ยื่นใบสมัครของตัวเองตังหากก่อน   และเมื่อใบสมัครของสปอนเซอร์ผ่านแล้ว ผู้สมัคร Partner visa ถึงจะสามารถยื่นใบสมัครวีซ่าได้

ปกติแล้วคนเขียนจะไม่โพสอะไรที่ยังไม่เป็นตัวบทกฏหมาย แต่ร่างกฏหมายฉบับนี้สำคัญสำหรับคนที่วีซ่ากำลังจะหมด ถ้ามาเจอกฏเปลี่ยนกระทันหัน ต้องรอให้สปอนเซอร์ยื่นใบสมัครและได้รับการ Approve ก่อน ก็อาจจะยื่น Partner visa ไม่ทันก่อนที่วีซ่าตัวปัจจุบันจะหมดอายุ 

เคสที่อยู่ระหว่างเตรียมเอกสารหรือเอกสารยังไม่แน่น ก็ต้องเลือกเอาระหว่างยื่นแบบหลวมๆ เสี่ยงถูกปฏิเสธวีซ่า หรือเสี่ยงเข้ากฏใหม่ ยื่นไม่ทันเพราะต้องรอสปอนเซอร์ Approval ก่อน และอาจจะต้องยื่นวีซ่าตัวอื่นเข้าไปแทน

เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน จุดประสงค์ของโพสนี้ ไม่ได้เป็นการแนะนำว่าให้ทุกคนรีบยื่นก่อนกฏเปลี่ยน แค่ต้องการแจ้งข่าวให้ทราบ จะได้เอาไปประกอบการพิจารณา .... อย่าลืมว่าเคสแต่ละเคสมีที่มาที่ไปไม่เหมือนกัน วิธีการทำงานก็แตกต่างกันไปนะคะ.... There is no "one size fits all" scenario.

มีความคืบหน้า ก็จะมาอัพเดทให้ทราบในโพสนี้นะคะ

ที่มา: Migration Amendment (Family Violence and Other Measures) Bill 2016

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

Partner visa & Domestic and family violence ความรุนแรงในครอบครัว และวีซ่าคู่ครอง

13/10/2018

 
เมื่อไม่นานมานี้คนเขียนได้แจ้งข่าวดีให้กับลูกความคนนึง ตอนน้องติดต่อมาหาคนเขียน น้องถือวีซ่าคู่ครองแบบชั่วคราว (stage 1 - Temporary Partner visa) แต่ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัว (ภาษากฏหมายคือ Family violence หรือ Domestic violence)

น้องบอกว่าไม่ไหวแล้วค่ะพี่ รอมา 23 เดือน กำลังจะใกล้ยื่นเอกสารวีซ่าคู่ครองแบบถาวร (Stage 2 - Permanent Partner visa) แต่ถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงทำร้ายทรัพย์สินด้วย ทนจนทนไม่ไหวแล้ว .... ว่าแล้วถามว่า 'เอะ...หรือหนูควรจะทน เพราะใกล้ได้พีอาร์แล้ว'

ในมุมมองของคนเขียนนะคะ ต่อให้รอมา 23 เดือน ก็ไม่ควรทนอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้อีกต่อไป ใช่ค่ะ อีก 1 เดือนก็จะถึงเวลายื่นเอกสารสำหรับ stage 2 - Permanent Partner visa แต่ก็ไม่ใช่ว่ายื่นเอกสารปุ๊บจะได้วีซ่าปั๊บ เดี๋ยวนี้รอผลกันร่วมปี เผลอๆเลยปีด้วย วันนี้อาจจะแค่เจ็บตัว วันหน้าอาจจะเสียโฉม พิการ ถึงตาย ไม่มีใครตอบได้ คุ้มไหมกับการได้พีอาร์ 

ป.ล. เคสวีซ่าคู่ครองที่ความสัมพันธ์สิ้นสุดลงระหว่างทาง มี 3 กรณีด้วยกันที่ผู้สมัครอาจจะได้พีอาร์
  1. สปอนเซอร์ตาย
  2. มีลูกด้วยกัน
  3. มีความรุนแรงเกิดขึ้นในครอบครัว จะเป็นทางร่างกายหรือทางจิตใจก็ได้ แต่ทางร่างกายอาจจะหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้ง่ายกว่า

เคสนี้สปอนเซอร์ก็ไม่ได้ตาย ลูกก็ไม่มี แต่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ถือเป็นเคสที่มีความเป็นไปได้

เคสนี้น้องไม่เคยแจ้งตำรวจ ไม่เคยไปหาหมอ จิตแพทย์ หรือนักสังคมสงเคราะห์ หลักฐานความรุนแรงที่น้องมี คือรูป 3 ใบ (3 ใบเท่านั้น!!!!) โชว์รอยถลอกที่เกิดกับน้อง 1 ใบ และการบาดเจ็บของสปอนเซอร์ที่ทำร้ายน้อง 2 ใบ และข้อความโต้ตอบกันผ่านไลน์ ซึ่งก็แรงด้วยกันทั้งคู่ สรุปว่าหลักฐานโชว์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นน้อยมาก และเป็นหลักฐานที่อิมมิเกรชั่นอาจจะตีความเป็นอื่นได้ (รูปสปอนเซอร์บาดเจ็บเนี่ยนะ ตกลงใครทำร้ายใครกันแน่ ใช่ค่ะคนเขียนเชื่อลูกความ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อ แต่คนทำงานต้องมองทุกมุม มองเผื่อมุมที่อิมมิเกรชั่นอาจจะมองด้วย - ก็เค้าเป็นคนตัดสินเคส)

เคสนี้คนเขียนอธิบายให้น้องฟังว่า มี 3 ทางคือ
  1. แพ๊คกระเป๋ากลับบ้าน
  2. หาวีซ่าอื่นเพื่อจะอยู่ที่ออสเตรเลียต่อไป
  3. ลุยไปข้างหน้ายื่น Permanent Partner visa ผ่าน Family violence provisions ซึ่งก็คือการยื่นเอกสารเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวเข้าไป แต่ต้องเผื่อใจเพราะเราอาจจะต้องไปถึงชั้นอุทธรณ์ (เพราะเอกสารน้อยและไม่แน่น) และเราอาจจะแพ้ที่ชั้นอุทธรณ์ก็ได้ (ว่าแล้วก็แจ้งประโยคเดิมๆให้น้องฟังว่า ไม่สามารถรับประกันความสำเร็จของงานได้ แต่รับประกันได้ว่าจะทำเคสให้ดีที่สุด เต็มความสามารถ)

มีหลายเคสมากที่คนเขียนแจ้งล่วงหน้าเลยว่าเคสอาจจะไปถึงชั้นอุทธรณ์ บางเคสแจ้งค่าบริการชั้นอุทธรณ์ล่วงหน้าเลยด้วย บางคนอาจจะรู้สึกห่อเหี่ยว แต่คนเขียนคิดว่าเราควรเอาความเป็นจริงมาคุยกัน จะได้เอาข้อมูล (ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยง ระยะเวลา และค่าใช้จ่าย) ไปประกอบการตัดสินใจ และก็หลายเคสมากที่เราไม่ต้องไปชั้นอุทธรณ์ และได้วีซ่ามาที่ชั้นอิมมิเกรชั่นนั่นแหละ

คนเขียนจริงใจ ตรงไปตรงมาค่ะ ถ้ารับได้ เชื่อใจกันก็ทำงานด้วยกันได้ สรุปว่าน้องลุย คนเขียนก็ลุยค่ะ

..... สรุปว่าคนเขียนวางแผนเคสไปกุมขมับไป

เริ่มแรกเลย เราแจ้งอิมมิเกรชั่นค่ะว่าความสัมพันธ์ของเราจบลงแล้ว (เคส Partner visa ที่ยังอยู่ในการพิจารณา ไม่ว่าระหว่างรอผลวีซ่า Stage 1 หรือ Stage 2 ของ Partner visa ถ้าความสัมพันธ์สิ้นสุดลง ผู้สมัครมีหน้าที่แจ้ง
อิมมิเกรชั่น)  เมื่อเรามีหน้าที่ เราทำหน้าที่ค่ะ ดูดีไว้ก่อน (ดีกว่าสปอนเซอร์เป็นคนแจ้งหรือเพื่อนผู้ไม่หวังดีเป็นคนแจ้งเป็นไหนๆ)  แต่ไม่ใช่แจ้งแล้วไม่ทำอะไรเลยนะคะ  การวางแผนงาน (Strategies ต่างๆ) ต้องมีแล้วตั้งแต่ก่อนแจ้ง (หมดเวลากุมขมับ แผนต้องมา งานต้องเดิน) เพราะเมื่อแจ้งแล้ว อิมมิเกรชั่นก็จะเริ่มขอเอกสารและคำอธิบายซึ่งมีกำหนดเวลาให้ตอบคำถาม ไม่ตอบตามเวลาเราอาจจะได้ไปชั้นอุทธณ์ทั้งที่ยังไม่ได้สู้ที่ชั้นอิมมิเกรชั่นเลย

ถึงแม้เคสน้องจะไม่ใช่เคสในฝัน คือมันไม่ง่าย แต่น้องเป็นลูกความในฝัน แนะนำให้ทำอะไรน้องทำทุกอย่าง อย่างรวดเร็วและเต็มที่ ถึงแม้จะสับสนในชีวิตและจิตตก เราก็ทำงานกันไปปลอบกันไป  คนเขียนตีเอกสารกลับไปหลายรอบ ส่วนใหญ่เป็น Statements (หมายถึงจดหมายคำอธิบายของน้องและเพื่อนๆ ไม่ใช่แบงค์สเตทเมนท์) คือเอกสารไม่แน่นไม่ปึ๊ก เอกสารคลาดเคลื่อนคลุมเครือ เราไม่ยื่น คือหลักฐานในเคสนี้ก็น้อยอยู่แล้ว ขืนส่ง Statements และเอกสารแบบเกือบดีเข้าไป เราคงได้ไปชั้นอุทธรณ์จริงๆ

ตีเอกสารกลับ ฟังดูโหด แต่จริงๆคือการขอให้แก้ไขนั่นแหละค่ะ พร้อมไกด์ให้ว่าควรจะแก้ไขประมาณไหน เพิ่มข้อมูลอะไร หาหลักฐานประเภทไหนเพิ่ม เคสที่มีหลักฐานน้อย คนเขียนก็ต้องมีไอเดียบรรเจิด ก็ต้องคิดนอกกรอบกันนิดนึง (บางคนอาจจะไม่แคร์ ลูกความมีเอกสารแค่ไหนก็ยื่นไปแค่นั้น แต่สำหรับคนเขียน...การช่วยลูกความคิดหาเอกสารเพิ่มเติม คนเขียนถือเป็นเนื้องาน อะไรช่วยได้ และอยู่ในกรอบของกฏหมาย คนเขียนทำทั้งนั้น)

สรุปว่าในที่สุดเอกสารเราก็แน่นค่ะ (ก็แน่นเท่าที่แน่นได้นั่นแหละค่ะ)  .... 1 ปี + 1 เดือนนับจากที่เราแจ้งอิมมิเกรชั่นว่าความสัมพันธ์สิ้นสุดลง น้องก็ได้พีอาร์มาครองสมใจ  เคสนี้ ...
  1. ไม่มีการถูกสัมภาษณ์
  2. ไม่มีการขอเอกสารเพิ่มเติม
  3. ไม่มีการส่งตัวไปหา Independent expert (ถ้าอิมมิเกรชั่นไม่เชื่อว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้นจริง ลูกความก็จะถูกส่งตัวไปหา Independent expert ซึ่งก็คือเจ้าหน้าที่ทางด้านจิตวิทยาของอิมมิเกรชั่น/รัฐบาลเพื่อขอความเห็นว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และความเห็นของเค้าก็เป็นที่สุด)

เคสนี้ น้องก็เป็นอีกหนึ่งลูกความที่อยู่คนละรัฐกับคนเขียน การทำงานของเราก็ผ่านโทรศัพท์ อีเมล์และไลน์ ตั้งแต่เริ่มการปรึกษาเบื้องต้นจนน้องได้พีอาร์ไปแล้วเราก็ยังไม่เคยเจอกันเลย

ป.ล.1   เคส Family violence ไม่ได้พิสูจน์แค่ว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้นนะคะ ก่อนที่อิมมิเกรชั่นจะดูเรื่องความรุนแรง อิมมิเกรชั่นดูก่อนว่าเรากับสปอนเซอร์มีความสัมพันธ์กันจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นหลักฐานความสัมพันธ์ก็จะต้องมีเช่นกัน  บางเคสที่คนเขียนทำมา ลูกความถูกยึดพาสปอร์ต กลับเข้าบ้านไม่ได้ ไม่มีเอกสารจะพิสูจน์ความสัมพันธ์เลย เพราะคุณสปอนเซอร์เก็บไว้ หรือทำลายไปหมด เคสแบบนี้ก็เป็นเคสที่ต้องใช้ไอเดียบรรเจิด ช่วยลูกความหาเอกสาร

ป.ล.2   เคส Partner visa เป็นเคสที่ต้องเก็บเอกสารความสัมพันธ์อยู่แล้วจนกว่าจะได้พีอาร์มาครอง น้องๆทั้งหลาย ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหากับแฟนก็ควรจะเก็บเอกสารพวกนี้ไว้เองด้วย เช่นแสกนลง USB ถ่ายรูปเก็บไว้ในมือถือ หรือเก็บใน cloud account เผื่อเกิดปัญหาขึ้นมากลับเข้าบ้านไม่ได้ เอกสารถูกยึดถูกทำลาย อย่างน้อยก็ยังมีบางอย่างที่เราพอจะมีและเอามาใช้ได้

.... รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม .... มีประโยชน์โปรดแชร์ ....

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

ฺฺBridging visa

13/4/2018

 
Bridging visa คืออะไร

คนเขียนมักจะอธิบายแบบสั้นๆง่ายๆให้ลูกความฟังว่า Bridging visa คือวีซ่า "รอ" .... รออะไร ... ก็รอผลการพิจารณาของวีซ่าตัวจริงที่เรายื่นขอไปไงคะ เช่นวีซ่านักเรียน วีซ่าคู่ครอง วีซ่าทำงาน  อิมมิเกรชั่นเรียกวีซ่าตัวจริงพวกนี้ว่า "Substantive visa"

วีซ่า "รอ" (Bridging visa) กับวีซ่าตัวจริง (Substantive visa) มีความสัมพันธ์กันอยู่ค่ะ

  • พอเรายื่นขอวีซ่าตัวจริงอะไรซักอย่างเข้าไปที่อิมมิเกรชั่น เช่นวีซ่านักเรียน วีซ่าคู่ครอง วีซ่าทำงาน
  • อิมมิเกรชั่นก็จะออก Bridging visa มาให้ เพื่อที่ผู้สมัครจะได้ "รอ" ผลการพิจารณาวีซ่าอยู่ในประเทศออสเตรเลียได้อย่างถูกกฏหมาย
  • โดยส่วนใหญ่แล้วอิมมิเกรชั่นจะออก Bridging visa ให้โดยอัตโนมัติเมื่อมีการยื่นขอ Substantive visa .... ใช้คำว่า "โดยส่วนใหญ่" เพราะก็มีบางกรณีที่ Bridging visa ไม่ได้ออกให้อัตโนมัติ คือต้องกรอกแบบฟอร์มยื่นขอกันตังหาก
  • ถ้าอิมมิเกรชั่นพิจารณาออกวีซ่าตัวจริง (Substantive visa) ให้ ผู้สมัครก็จะเปลี่ยนจากการถือวีซ่า "รอ"  (Bridging visa) ไปถือวีซ่าตัวจริงโดยอัตโนมัติ
  • ถ้าอิมมิเกรชั่นปฏิเสธไม่ให้วีซ่า ตัว Bridging visa ที่ถืออยู่ก็จะหมดไป 28 วัน หรือ 35 วัน หลังจากที่ผู้สมัครได้รับแจ้งการถูกปฏิเสธวีซ่า
                                     Q: ทำไมต้องมี 28 วัน หรือ 35 วันด้วย??
                                     A: ก็เพราะมีกฏเปลี่ยนเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2016

                                      Q: แล้วจะทราบได้ยังไงว่า Bridging visa หมดอายุเมื่อไหร่กันแน่
                                      A: ถ้า Bridging visa ออกก่อนวันที่ 19 พฤศจิการยน 2016 - 28 วัน
                                          ถ้าออกวันที่ 19 พฤศจิการยน 2016 หรือหลังจากนั้น - 35 วัน
                                          ทางที่ดีที่สุด เช็ค VEVO ค่ะ

  • ถ้าถูกปฏิเสธวีซ่า และมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ไปที่ AAT และได้ยื่นอุทธรณ์ไปที่ AAT .... Bridging visa แทนที่จะหมดอายุใน 28 หรือ 35 วัน ก็จะยืดออกโดยอัตโนมัติ ...คือไม่หมดอายุ... คือรอต่อไป รอผลการพิจารณาในชั้นอุทธรณ์ (คนเขียนถึงเรียก Bridging visa เป็นภาษาไทยสั้นๆว่าวีซ่า "รอ")  - นอกเรื่องนิดนึง...
                    - ทุกครั้งที่เขียนเกี่ยวกับการยื่นอุทธรณ์ คนเขียนจะย้ำเสมอว่า อุทธรณ์ไม่ใช่ทางออกของทุกเคส
                      นะคะ (ครั้งนี้ก็ต้องย้ำ) คือมันไม่ใช่สูตรนะคะว่าพอถูกปฏิเสธจะต้องยื่นอุทธรณ์ ต้องดูความเหมาะสม
                      ของเคสด้วย ว่าควรยื่นอุทธรณ์หรือไม่
                    - บางเคสมีโอกาสยื่นขอวีซ่าไปที่อิมมิเกรชั่นใหม่ และการยื่นใหม่อาจจะดีกว่าการยื่นอุทธรณ์
                    - บางเคสถึงจะมีโอกาสยื่นขอวีซ่าใหม่อีกครั้ง แต่การยื่นอุทธรณ์น่าจะมีโอกาสได้วีซ่ามากกว่า
                    - บางเคสเมื่อพิจารณาตัวบทกฏหมายและสถานการณ์ของเคส ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่มีโอกาสชนะที่
                      ชั้นอุทธรณ์ ก็ไม่ควรยื่น
                    - บางเคสถึงจะไม่มีโอกาสผ่านที่ชั้นอุทธรณ์ก็ควรยื่น (แต่ก็ไม่ใช่ทุกเคส เพราะถ้าการยื่นไม่ได้ให้
                      ประโยชน์อะไรกับเราเลย นอกจากการเสียตังค์ ก็ไม่ทราบว่าจะเสียตังค์ไปทำไม)
                    - บางเคสก็ควรจะยื่นอุทธรณ์ด้วย ยื่นใหม่ด้วย เพื่อเป็นการเปิดทางเลือกให้มากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่า
                      ค่าใช้จ่ายก็สูงขึ้นตามโอกาสที่มากขึ้น (ย้ำอีกครั้งว่า นี่ไม่ใช่สูตร ไม่ได้ใช้ได้กับทุกเคสทุกสถานการณ์
                      ในบางเคสก็เป็นการใช้เงินโดยเปล่าประโยชน์)
      
  • ในกรณีที่เคสชนะที่ชั้นอุทธรณ์ เคสก็จะถูกส่งกลับไปให้อิมมิเกรชั่นพิจารณาอีกครั้ง วีซ่า "รอ" ก็ยังคงอยู่ เพราะก็ยังรอผลการพิจารณาจากอิมมิเกรชั่นอยู่
  • ถ้าแพ้ที่ชั้นอุทธรณ์ ก็ย้อนกลับไปดูข้างบน ระยะเวลา 28 หรือ 35 วัน ก็จะเริ่มหลังจากที่ได้รับการแจ้งผลอุทธรณ์
                   - บางเคสมีทางไปต่อนะคะ แต่หลังจากนี้จะเป็นอะไรที่ค่อนข้างซับซ้อนแล้ว

ฺฺคนเขียนขอสรุปวีซ่า "รอ" ที่เจอกันเป็นปกตินะคะ  (แบบไม่ปกติขอไม่พูดถึง)

Bridging visa A - รออยู่ในประเทศเท่านั้น ออกไปเที่ยวนอกประเทศระหว่างรอไม่ได้ (จริงๆ คือ ออกได้ แต่จะไม่ได้กลับเข้ามา)
               
Bridging visa B - สำหรับคนที่ต้องการออกไปเที่ยว ไปเยี่ยมญาติ ไปทำธุระนอกประเทศระหว่างรอการพิจารณาวีซ่าตัวจริง Bridging visa B นี่เป็นวีซ่าแบบที่อิมมิเกรชั่นไม่ได้ออกให้โดยอัตโนมัตินะคะ ต้องสมัครและเสียตังค์ด้วย และเฉพาะคนที่ถือ ฺBridging visa A เท่านั้นนะคะ ที่จะขอ Bridging visa B ได้ 

Bridging visa C - จะออกให้กับคนที่มีสถานะเป็นผี (ไม่มีวีซ่า) หรือถือ Bridging visa (ที่ไม่ใช่ Bridging visa E) ตอนยื่นขอวีซ่าตัวจริง

Bridging visa E - จะออกให้กับคนที่มีสถานะเป็นผี ที่ต้องการเตรียมตัวเดินทางกลับออกไป หรือมีการยื่นอุทธรณ์ในกรณีวีซ่าถูกยกเลิก หรือมีการยื่นอุทธรณ์ไปหารัฐมนตรีด้านคนเข้าเมือง ในกรณีแบบนี้ต้องมีการยื่นขอนะคะ
อิมมิเกรชั่นไม่ได้ออก  Bridging visa E ให้โดยอัตโนมัติ และสำหรับคนที่เป็นผีและเคยได้รับ Bridging visa E มาแล้ว และมีการยื่นขอวีซ่าตัวจริงเข้าไป โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะได้ Bridging visa E โดยอัตโนมัติ

ในกรณีที่เคสค่อนข้างซับซ้อน ก็อาจจะมีอาการงงๆกันนิดนึงว่าตกลงถือ Bridging visa ตัวไหนกันแน่ บางคนก็ได้ Bridging visa มาหลายตัวเพราะยื่นขอวีซ่าหลายตัว หรือมีการยื่นอุทธรณ์ด้วย ขอวีซ่าใหม่ด้วยเป็นต้น

คิดอะไรไม่ออก เช็ค VEVO ค่ะ

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

แชร์ประสบการณ์ Partner visa - Schedule 3 waiver Request

13/10/2017

 
คนเขียนเพิ่งแจ้งข่าวดีให้กับลูกความคู่นึงไป ข่าวดีของคนที่ยื่นวีซ่าก็คงไม่มีอะไรนอกจากวีซ่าออกแล้ว

เคสนี้เป็นเคสที่เราดูแลกันมายาวนานพอสมควร ลูกความติดต่อคนเขียนมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว ลูกความไม่ถือวีซ่ามาระยะใหญ่ แต่มีแฟนออสซี่ แต่เนื่องจากกฏเกณฑ์นโยบายการขอวีซ่าคู่ครองของคนที่ไม่มีวีซ่า ก็เปลี่ยนมาระยะนึงแล้ว ซึ่งทำให้โอกาสการได้วีซ่าในเคสแบบนี้ยากขึ้นมาก

ทางเลือกของคนไม่ถือวีซ่าที่ต้องการยื่นวีซ่าคู่ครอง (ก็ได้เคยโพสไปแล้วว่า) มีอยู่สองทาง คือการกลับออกไปยื่นวีซ่าแบบนอกประเทศออสเตรเลีย หรือเสี่ยงยื่นวีซ่าแบบในประเทศออสเตรเลียถ้าคิดว่าเคสของเรามีเหตุผลที่น่าเห็นใจจริงๆ (Schedule 3 waiver request) คนเขียนใช้คำว่า"เสี่ยง" เพราะต่อให้เราคิดว่าเรามีเหตุผลน่าเห็นใจแค่ไหน เหตุผลอาจจะไม่มากพอในมุมมองของอิมมิเกรชั่น ซึ่งก็อาจจะทำให้เราถูกปฏิเสธวีซ่าได้ เมื่อถูกปฏิเสธวีซ่าในกรณีแบบนี้ ก็มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งอุทธรณ์ก็มีความเสี่ยง อาจจะชนะหรือแพ้ ไม่มีใครตอบได้

จากประสบการณ์ในการทำงานด้านนี้ คนเขียนคิดว่าเคสนี้เป็นเคสที่น่าเห็นใจจริงๆ แต่เนื่องจากว่าคนเขียนก็ไม่ใช่คนตัดสินเคส ลูกความก็ต้องเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะเลือกทางไหนที่ตัวเองพอรับได้ ระหว่าง

1. กลับไปยื่นที่ไทย ซึ่งการพิจารณาน่าจะเร็วกว่าและมีโอกาสได้วีซ่าสูงกว่า (ถ้าความสัมพันธ์หนักแน่นมั่นคงและมีหลักฐานสนับสนุนที่ดี) แต่ก็คงจะต้องรออยู่ที่ไทยจนกว่าจะได้วีซ่า เพราะการขอวีซ่าท่องเที่ยวมาในระหว่างรอคงไม่ผ่านเนื่องจากเคยอยู่เป็นผีที่ออสเตรเลียมาระยะใหญ่ และถ้าวีซ่าคู่ครองไม่ผ่านจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ก็คงต้องรออยู่ที่ไทยจนกว่าอุทธรณ์จะผ่าน หรือได้วีซ่าประเภทอื่น

หรือ

2. เสี่ยงยื่นที่นี่ ซึ่งโอกาสที่จะถูกปฏิเสธที่ชั้นอิมมิเกรชั่นก็สูงพอสมควร แต่โอกาสที่จะชนะที่ชั้นอุทธรณ์ก็พอมี ถ้าถูกปฏิเสธ ก็มีโอกาสตัดสินใจว่าจะกลับไปวีซ่ายื่นใหม่ที่ไทยดี หรือจะเสี่ยงลุยต่อไปชั้นอุทธรณ์ดี ถ้าไม่ผ่านที่ชั้นอุทธรณ์ ก็คงจะได้กลับไปยื่นใหม่ที่ไทยจริงๆ ยกเว้นว่าจะมีเหตุให้อุทธรณ์ต่อในชั้นอื่นได้ (ซึ่งในบางเคสก็มีความเป็นไปได้)

คนเขียนง่ายๆ ถ้าลูกความลุย คนเขียนก็ลุยค่ะ แต่ก่อนลุย ลูกความต้องเข้าใจพื้นฐานเคสของตัวเองจริงๆก่อน ...
ทำงานกับคนเขียนไม่มีการเพ้นท์ภาพสวยหรู ไม่มีโลกสวย เราเอาเรื่องจริงมาคุยกัน คนเขียนไม่เห็นประโยชน์ที่จะบอกลูกความว่าเคสง่ายๆเดี๋ยวก็ได้วีซ่า ถ้าในความเป็นจริงมันไม่ใช่

สรุปว่าลูกความเลือกเสี่ยงยื่นที่นี่ คนเค้ารักกันอยากอยู่ดูแลกัน (และที่สำคัญมีเหตุผลน่าเห็นใจ) คนเขียนก็ลุย ลูกความก็ลุยค่ะ และเราก็ถูกปฏิเสธ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดคาด แต่ผิดหวัง คนเขียนก็ถามว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือจะกลับไปยื่นที่ไทย ในใจก็นึกว่าในเมื่อลุยมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ควรจะลุยต่อ ไม่อย่างงั้นก็ควรยื่นที่ไทยตั้งแต่แรก นึกแต่ไม่ได้พูดเพราะนี่คือชีวิตของลูกความ และทั้งสองทางต่างก็มีข้อดี/ข้อเสียของมันเอง ก็ต้องให้ลูกความเลือกและตัดสินใจเอาเอง คนเขียนไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินใจแทน แต่มีหน้าที่ให้คำแนะนำประกอบการตัดสินใจ

ลูกความตัดสินใจยื่นอุทธรณ์ คนเขียนชื่นใจมาก ไม่ได้ชื่นใจเพราะลูกความตัดสินใจยื่นอุทธรณ์ แต่เพราะขออะไรไปก็จะพยายามหาให้อย่างรวดเร็ว แบบไม่ต้องตามไม่ต้องถามซ้ำ (proactive แบบสุดๆ) และเราก็ชนะที่ชั้นอุทธรณ์ เคสถูกส่งกลับไปให้อิมมิเกรชั่นพิจารณาต่อ และในที่สุดคุณลูกความก็ได้วีซ่าสมใจ ซึ่งในเคสนี้ลูกความได้วีซ่าคู่ครองแบบถาวรเลยด้วยค่ะ  .... คนเขียนชื่นใจและดีใจเหมือนได้วีซ่าซะเอง  ... นับรวมเวลาตั้งแต่เข้ามาขอคำปรึกษาเบื้องต้นจนถึงวันนี้ 4 ปี กับอีก 2 เดือน

หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าแล้วจะบอกไหมว่าเหตุผลที่น่าเห็นใจมันคืออะไร ... ไม่บอก ... ความลับของลูกความบอกไม่ได้ ... และบอกไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะแต่ละเคสก็มีลักษณะเฉพาะตัว ก็ต้องพิจารณากันเป็นเคสๆไป  สำหรับบางคนที่เหมารวมว่าคนไม่มีวีซ่า/ผีจะไม่มีทางขอวีซ่าคู่ครองแบบในประเทศได้และต้องกลับไปยื่นแบบนอกประเทศเท่านั้น ก็ต้องบอกว่าไม่จริงเสมอไป

คนเขียนเคยโพสไว้นานแล้วว่าเคสบางเคสทนายหรือเอเจนต์ต้องทำงานกับเรานานเป็นปีๆ เลือกคนที่คลิ๊กกับเรานะคะ จะได้ทำงานด้วยกันอย่างสบายใจ

นอกเรื่อง .... มีน้องๆถามเกี่ยวกับ Bridging visa มาค่อนข้างเยอะ คนเขียนร่างไว้แล้วแต่ยังไม่เสร็จ รออีกแป๊บ...
ที่ถามๆกันมาก็จะพยายามตอบให้นะคะ (ถ้าตอบได้) อาจจะตอบเป็นการส่วนตัว หรือทาง Blog ในหัวข้อ ถาม-ตอบ จิปาถะ (ไม่มีความจำเป็นต้องเช็ค Blog ทุกวันนะคะ ถ้าตอบทาง Blog จะแจ้งให้ทราบว่าตอบให้แล้วใน Blog)
คำถามที่คนเขียนไม่ได้ตอบ คือคำถามที่ต้องดูเอกสารประกอบหรือต้องซักถามกันเพิ่มเติมหรือต้องอธิบายกันแบบยาวๆ ในกรณีแบบนี้รบกวนนัดปรึกษารับคำแนะนำกันแบบเป็นเรื่องเป็นราวนะคะ

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

จดทะเบียนความสัมพันธ์ (Relationship Registration) South Australia

27/8/2017

 
เมื่อเดือนที่แล้วคนเขียนไปเจอมาว่าร่างกฏหมายการจดทะเบียนความสัมพันธ์ของรัฐ South Australia ผ่านสภามาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2016 แล้ว คนเขียนเชื่อว่าน่าจะมีผลบังคับใช้เร็วๆนี้ .... คือจริงๆน่าจะบังคับใช้มาตั้งนานแล้ว ก็ไม่ทราบว่ารัฐบาลรออะไร ....

คนเขียนเลยบอกน้องๆลูกความที่อยู่ในความสัมพันธ์ฉันท์ De facto แต่ยังไม่ครบ 12 เดือน (หรือเกิน 12 เดือนแล้ว แต่หลักฐานไม่แน่น) ให้คอยติดตามกับทางหน่วยงานรัฐบาลว่าเมื่อไหร่กฏหมายตัวนี้จะบังคับใช้ 

และตอนนี้ (เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2017) ที่ South Australia ก็สามารถจดทะเบียนความสัมพันธ์ได้แล้วนะคะ ลูกความของคนเขียนคาดว่าจะเป็นคู่แรกๆที่ได้ใช้กฏหมายนี้

ป.ล.1      รัฐอื่นที่ยังไม่มีกฏหมายรองรับการจดทะเบียนความสัมพันธ์ ก็อาจจะมีได้ซักวันนึงนะคะ
               เพราะฉะนั้นอย่าด่วนสรุป ไม่อย่างงั้นเราอาจจะพลาดโอกาสดีๆได้

ป.ล.2      เงื่อนไขการจดทะเบียนความสัมพันธ์ของแต่ละรัฐไม่เหมือนกันนะคะ 
               บางรัฐที่รับจดทะเบียนความสัมพันธ์อยู่แล้ว ก็อาจจะมีการเปลี่ยนเงื่อนไขได้
               ก่อนจะยื่นใบสมัครก็เช็คเงื่อนไขกันด้วยนะคะ จะได้เตรียมเอกสารให้ครบ ไม่เสียเวลาหรือเสียตังค์ฟรี

ข้อมูลการจดทะเบียนความสัมพันธ์ของ South Australia อยู่ที่ https://www.sa.gov.au/topics/family-and-community/births,-deaths-and-marriages/register-a-relationship

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

Partner visa กับคนที่วีซ่าขาด

17/8/2017

 

มีน้องๆที่วีซ่าขาดติดต่อเข้ามาอยู่เรื่อยๆนะคะ หนู/ผมมีแฟนเป็นชาวออสเตรเลีย/เป็นพีอาร์ จะยื่นวีซ่าคู่ครองที่นี่ได้ไหม

คำตอบคือถ้าไม่มีเหตุผลน่าเห็นใจจริงๆ ยากค่ะ  แปลว่าถ้ามีเหตุผลที่หนักแน่นจริงและสามารถนำเสนอได้ พิสูจน์ได้  ก็ยังมีโอกาส (แต่ไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ถ้าสามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์ได้ถึงสองปี หรือมีลูกด้วยกัน หรือมีเหตุผลน่าเห็นใจพอสมควรก็โอเคแล้ว

แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ อิมมิเกรชั่นปรับเปลี่ยนนโยบายภายในใหม่ (ตัวบทกฏหมายยังคงเดิม) การพิจารณาก็จะเพ็งเล็งไปที่ทำไมผู้สมัครถึงไม่มีวีซ่า ทำไมเป็นผีมาหลายปี ได้พยายามติดต่ออิมมิเกรชั่นเพื่อแก้ไขสถานะของตัวเองหรือไม่ หรืออยู่เป็นผีไปเพื่อรอเวลายื่นวีซ่า

ในบางเคสถึงแม้จะมีเหตุผลน่าเห็นใจจริงๆ (เช่นมีลูกเล็กด้วยกัน สปอนเซอร์ป่วยไม่สบาย ต้องการคนดูแล) อิมมิเกรชั่นก็ยังไม่สนใจ ปฏิเสธแบบไม่เห็นใจใดๆทั้งสิ้น สนใจอย่างเดียวคือการมีประวัติการอยู่เป็นผีมาก่อนการยื่นวีซ่า

เพราะฉะนั้นใครที่ยังไม่เป็นผี ก็ไม่ต้องพยายามจะเป็นนะคะ (จริงๆแล้ว ไม่ต้องเคสผีหรอกค่ะ เคสถือ Bridging visa ก็ต้องพิสูจน์เหตุผลน่าเห็นใจด้วยเช่นกัน)

เคสผี และเคส ฺBridging visa ถ้าไม่มีเหตุผลที่น่าเห็นใจจริงๆ ก็ต้องแนะนำให้กลับไปยื่นแบบนอกประเทศ แปลว่าจะไปยื่นไปรอที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ในประเทศออสเตรเลีย แต่เพราะว่าระยะเวลาการรอก็ประมาณ 8-12 เดือน หรือนานกว่านั้นในบางเคส ส่วนใหญ่ก็จะกลับไปยื่นไปรอที่ประเทศบ้านเกิดของตัวเองกัน

ประวัติการอยู่เป็นผีมาก่อน เช่นการอยู่เลยกำหนดวีซ่า การเคยถูกปฏิเสธเพราะอิมมิเกรชั่นไม่เชื่อว่าตั้งใจจะเป็นนักเรียนจริง หรือการถูกยกเลิกวีซ่าเพราะทำผิดเงื่อนไขวีซ่า โดยทั่วไปแล้วไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับการยื่นวีซ่าคู่ครองแบบนอกประเทศ ถ้าหลักฐานความสัมพันธ์แน่น โอกาสผ่านก็สูงค่ะ การติดบาร์ 3 ปี จากการอยู่เลยกำหนดวีซ่าหรือการถูกยกเลิกวีซ่า ไม่ได้มีผลกับวีซ่าคู่ครองแบบนอกประเทศนะคะ

เคสที่น่ากังวัลคือเคสที่มีประเด็นอื่นพ่วงมาด้วย เช่น มีปัญหาสุขภาพ มีประวัติคดีอาญา เคยถูกปฏิเสธหรือถูกยกเลิกวีซ่าเพราะเคยให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในใบสมัครเก่า หรือเคยมีการปลอมแปลงเอกสาร  ประเด็นพวกนี้อาจจะมีผลกับการพิจารณา ซึ่งก็ต้องมาดูว่าควรจะเสี่ยงออกไปหรือไม่ เพราะออกไปแล้วอาจจะไม่ได้กลับเข้ามา

คนเขียนมีลูกความทั้งสองประเภทนะคะ ประเภทที่ต้องแนะนำให้ยื่นแบบนอกประเทศ เพราะไม่มีเหตุผลน่าเห็นใจอะไรที่เข้าข่ายให้ได้ลุ้นเลย

กับประเภทที่เข้าข่ายมีเหตุผลน่าเห็นใจที่อิมมิเกรชั่นอาจจะพิจารณาออกวีซ่าคู่ครองแบบในประเทศให้ ซึ่งเทรนปัจจุบันต้องบอกว่ายาก และอาจจะมีหวังที่ชั้นอุทธรณ์ซะมากกว่า  ลูกความกลุ่มนี้ก็ต้องยอมรับว่าค่าใช้จ่ายจะสูงเพราะมีแนวโน้มไปถึงชั้นอุทธรณ์ และก็ต้องยอมรับความไม่แน่นอน เพราะถ้าอุทธรณ์ไม่ผ่าน ก็ต้องเสียตังค์เสียเวลาต่อเพราะอาจจะต้องยื่นแบบนอกประเทศในที่สุด

คนเขียนมีเคสนึงที่เพิ่งชนะที่ชั้นอุทธรณ์เมื่อเร็วๆนี้ เคสนี้ถึงแม้จะมีเหตุผลที่น่าเห็นใจ คนเขียนก็ยังเสนอแนะให้ยื่นแบบนอกประเทศ เพราะห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายและความไม่แน่นอนว่าเคสจะไปจบตรงไหน ค่าใช้จ่ายจะปานปลายไปเท่าไหร่ ในขณะที่ถ้ายื่นแบบนอกประเทศ เคสนี้ไม่ควรจะติดปัญหาอะไรเลย แต่ลูกความก็ยืนยันจะยื่นที่นี่เพราะความรักและความต้องการที่จะดูแลกัน (บวกกับความกลัวว่าจะไม่ได้กลับมา ทั้งๆที่บอกแล้วว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้ายื่นนอกประเทศ)  ลูกความลุยคนเขียนก็ลุยค่ะ แล้วเราก็ถูกปฏิเสธที่ชั้นอิมมิเกรชั่น.... (แน่นอนว่าลูกความเศร้า แต่รับได้ เพราะทราบความเสี่ยงมาตั้งแต่ต้นแล้วก่อนตัดสินใจยื่นแบบในประเทศ) ....เราก็ลุยต่อ และเราก็ชนะที่ชั้นอุทธรณ์...... เย้

คนเขียนก็มาลุยมาลุ้นเคสอื่นที่รออุทธรณ์ต่อ...  ไม่ได้แปลว่าเคสที่ไปถึงอุทธรณ์แล้วจะต้องผ่านทุกเคสนะคะ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างประกอบกัน ที่สำคัญมากคือลูกความต้องเต็มร้อยกับงาน

คนเขียนไม่โลกสวยนะคะ และแนะนำลูกความอย่างจริงใจตรงไปตรงมา ยากก็บอกว่ายาก ไม่น่าจะมีปัญหาก็บอกว่าไม่น่าจะมีปัญหา แต่ผ่านแน่ๆได้วีซ่าแน่ๆบอกไม่ได้ เพราะไม่ใช่คนตัดสินเคส .... แถมบางเคสก็งานงอกระหว่างทาง เช่นลืมแจ้งชื่อเดิม ลืมแจ้งว่ามีลูก ลืมว่าเคยมีคดี ลืมว่าเคยเปลี่ยนชื่อ ลืมแจ้งสถานะว่าเคยแต่งงาน (มีลืมว่าเคยแต่งงานมาก่อนด้วยนะ !!)

เขียนซะยาว หวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์นะคะ... คนเขียนไม่มีแพท์เทิร์น เขียนเมื่ออยากเขียน เขียนเมื่อมีเวลา ... ขอบคุณน้องๆที่โทรมาบอกว่ายังติดตาม.... จะพยายามเขียนถี่ขึ้น...

เดี๋ยวคราวหน้ามาต่อกันด้วย Protection visa วีซ่ายอดฮิตของคนบางกลุ่ม (จริงๆ ร่างไว้นานแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาขัดเกลา รอต่อไปอีกนิดนะคะ)


Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

จะยื่นวีซ่า จำเป็นต้องใช้ Migration Agent หรือไม่

10/10/2013

 
คำตอบคงแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนตอบแต่ถ้าถามคนเขียน แน่นอนว่าคำตอบต้องเป็นว่า "ควรจะ" หรือในบางกรณี "ต้องใช้" ถ้าไม่อยากเสียเงิน เสียเวลา เสียประวัติ และในบางเคสเสียอนาคตที่จะได้อยู่ในประเทศนี้

การที่เรายื่นขอวีซ่าแล้วจะได้หรือไม่ได้วีซ่านั้น อิมพิจารณาอยู่บนพื้นฐานของ:-
    1.  ตัวบทกฏหมายคนเข้าเมือง และ
    2.  นโยบายของรัฐบาลในช่วงเวลานั้นๆ 
อย่างที่เคยกล่าวมาแล้ว บางครั้งเรายื่นเอกสารตาม checklist ที่หาได้จากเวปของอิม ไม่เพียงพอ และมีหลายเคสที่ถูกปฏิเสธทั้งที่ยื่นเอกสารทุกอย่างที่อิมต้องการ  เหตุผลส่วนใหญ่ของการถูกปฏิเสธก็เพราะเอกสารที่ยื่นไปไม่มีคุณภาพ

ในความเห็นของคนเขียนนะคะ คนที่อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้บริการของ Registered Migration Agent (RMA) หรือ Immigration Lawyer ก็คือคนที่ยื่นวีซ่าที่ไม่มีความซับซ้อนมาก เช่นวีซ่าท่องเที่ยว, อ่านข้อมูลจากอิมแล้วเข้าใจ, และไม่ได้มีประวัติทางอิมมิเกรชั่นที่ซับซ้อน เช่นไม่เคยถูกปฏิเสธ หรือยกเลิกวีซ่า, ไม่เป็นผี, วีซ่าตัวปัจจุบันไม่มีเงื่อนไขที่ทำให้ยากต่อการยื่น

คนที่ "ควรจะ" หรือ "ต้องใช้" บริการของ Professional ก็คือคนที่ยื่นวีซ่าที่ค่อนข้างซับซ้อน และมีข้อกำหนดมากมาย เช่น 457, ENS, RSMS, Partner visa และคนที่มีประวัติทางอิมมิเกรชั่นที่ยุ่งเหยิง ส่วนใหญ่เจ้าตัวจะรู้ดีว่าประวัติตัวเองมีความเสี่ยงหรือไม่

ยกตัวอย่าง Partner visa

หลายคนอาจจะเถียงอยู่ในใจว่า Partner visa ง่ายนิดเดียวทำเองก็ได้  สำหรับคนเขียนคิดว่าจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ขึ้นอยู่กับเคสแต่ละเคส  คนที่ทำเองและได้วีซ่ามาแล้ว ก็ต้องว่าง่ายล่ะ  คนที่ทำเองแล้วถูกปฏิเสธมา ก็มานั่งเสียใจว่า รู้อย่างงี้ใช้บริการ Professional ตั้งแต่แรกดีกว่า

คนเขียนมีคนที่ถูกปฏิเสธ Partner visa ติดต่อเข้ามามากมาย บางคนก็ใช้บริการ Agent ที่ไม่ใส่ใจ ไม่ตาม และสะเพร่าในการทำงาน บางคนก็อ่านเอง ทำเอง, ทำตามเพื่อนบอก, แฟนออสซี่ยืนยันว่าเค้าทำได้ สารพัดเหตุผล ......ปัญหาก็คือ เมื่อมาถึงจุดที่ถูกปฏิเสธวีซ่า บางเคสก็โชคดีพอมีทางแก้ไข แต่เสียตังค์เพิ่ม และแน่นอนเสียเวลา ..... บางเคสก็ไม่มีทางแก้ นอกจากจะต้องออกจากประเทศออสเตรเลีย

เมื่อเร็วๆนี้คนเขียนได้ให้คำปรึกษากับลูกความชาวเม็กซิกัน ซึ่งมาหาคนเขียนหลังจากที่ได้ยื่น Partner visa เข้าไปเอง รอมาปีกว่า ก็ได้รับจดหมายจากอิมขอเอกสารเพิ่มเติม เจ้าตัวเริ่มกังวลว่าควรยื่นเอกสารอะไรบ้าง เพื่อที่วีซ่าจะได้ผ่านแน่ๆ  หลังจากคนเขียนได้อ่านจดหมายจากอิม และซักถามประวัติอยู่ชั่วโมงกว่า ก็สรุปได้ว่า....ไม่ว่ายื่นเอกสารอะไรเข้าไปเคสนี้ก็ไม่ผ่าน (ถ้าผ่านก็ฟลุกล่ะ)  ลูกความร้องไห้ พร้อมบอกคนเขียนว่าก่อนยื่นก็ไปหา Agent มา Agent บอกว่าไม่มีปัญหายื่นได้ เจ้าตัวก็เลยยื่นเอง คนเขียนก็ตอบไม่ได้ (เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์) ว่า Agent คนนั้นไม่ดูเคสให้ละเอียด หรือไม่เชี่ยวชาญพอเลยให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือให้ข้อมูลถูกต้อง แต่ลูกความต้องการประหยัดเลยทำไปตามมีตามเกิด (และตามความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง)  ผลสุดท้ายเคสนี้แทนที่จะเป็นการประหยัดตังค์ กลายเป็นเคสที่ทั้งแพง เพราะจะต้องเสียตังค์ซ้ำซ้อน และเสียเวลาไปอีกอย่างน้อยๆ 2-3 ปี .....  ณ จุดนี้จะไม่ให้ Professional ทำก็ไม่ได้แล้ว เพราะกลายเป็น Complex case ซึ่งแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายสูงไปตามความยากของงาน ..... ถามว่าคุ้มกันไหม กับเวลาที่เสียไป

นอกจากปัญหาวุ่นวายนี้แล้ว ตลอดเวลาปีว่าที่รอเรื่องมา ลูกความท่านนี้ถือ Bridging visa ที่ไม่สามารถทำงานได้ ด้วยความไม่รู้ และไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง ก็ทำงานหลบๆซ่อนๆ เสี่ยงต่อการถูกจับมาปีกว่า ทั้งๆที่ไม่จำเป็นเลย เพราะลูกความท่านนี้จริงๆแล้วสามารถที่จะขอเปลี่ยนเงื่อนไขให้ทำงานได้

บางครั้งความไม่รู้ ทำให้เราพลาดสิ่งที่ไม่ควรจะพลาด เสียโอกาสที่ไม่ควรจะเสีย

คนเขียนไม่ได้บอกว่าทุกคนจำเป็นต้องใช้บริการของ Registered Migration Agent หรือ Immigration Lawyer นะคะ  แต่ละคนก็ต้องใช้วิจารณญานของตัวเอง ว่าเคสของเราจำเป็นต้องใช้บริการของ Professional หรือไม่  เราเข้าใจข้อกฏหมายและนโยบายที่อิมจะเอามาปรับใช้แค่ไหน และยอมรับความเสี่ยงที่จะทำเองและอาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้หรือไม่

คนเขียนแค่รู้สึกเสียดายโอกาสของหลายๆคน ที่ถ้าทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรก ก็คงไม่มาอยู่ที่จุดนี้ที่ต้องเสียตังค์ซ้ำซ้อน และชีวิตก็จะยังไม่แน่นอนไปอีกหลายปี

สำหรับคนที่เดินผิดพลาด เอาใจช่วยค่ะ
สำหรับคนที่กำลังตัดสินใจว่าจะทำเองดีหรือไม่ คิดให้ถี่ถ้วน อ่านแล้วอ่านอีก ถ้ามั่นใจ ลุยเลยค่ะ แต่อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆ ถ้าจะทำเองทำให้ดีที่สุด จะได้ไม่มาเสียใจทีหลัง ถ้าไม่มั่นใจในความสามารถตัวเอง ใช้บริการ Professional ค่ะ มีมากมายทั้งคนไทย และชาติอื่น รวมถึงออสซี่ด้วย

Blog ถัดไป .... วิธีเลือก Registered Migration Agent / Immigration Lawyer ....

Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com

    Author


    พี่เก๋ - กนกวรรณ ศุโภทยาน เป็นทนายความไทย และทนายความของประเทศออสเตรเลีย (Immigration Lawyer)

    มีประสบการณ์เป็นทนายความเฉพาะทาง ด้าน IMMIGRATION ของประเทศออสเตรเลีย รับวางแผนการขอวีซ่า ยื่นใบสมัครขอวีซ่าทุกประเภท ช่วยเหลือในชั้นอุทธรณ์ที่ Administrative Appeals Tribunal และในชั้นศาลค่ะ

    ต้องการคำแนะนำ หรือความช่วยเหลือ ติดต่อได้ที่ Immigration Success Australia
    mb: 0428 191 889 หรือ www.immigrationsuccessaustralia.com

    Archives

    December 2023
    November 2023
    October 2023
    July 2023
    September 2022
    July 2022
    January 2022
    December 2021
    November 2021
    October 2021
    September 2021
    July 2021
    June 2021
    March 2021
    February 2021
    January 2021
    December 2020
    November 2020
    October 2020
    September 2020
    July 2020
    June 2020
    May 2020
    April 2020
    March 2020
    February 2020
    March 2019
    January 2019
    November 2018
    October 2018
    August 2018
    July 2018
    June 2018
    April 2018
    October 2017
    September 2017
    August 2017
    May 2017
    April 2017
    August 2015
    April 2015
    December 2014
    September 2014
    August 2014
    June 2014
    March 2014
    January 2014
    October 2013
    September 2013
    July 2013
    June 2013

    Categories

    All
    วีซ่า
    อุทธรณ์
    วีซ่าคู่ครอง
    101
    102
    103
    143
    173
    186
    187
    190
    300
    309
    4020
    408
    417
    445
    457
    462
    476
    482
    485
    489
    491
    494
    500
    870
    AAT
    Accountant
    Administrative Appeals Tribunal
    Adoption Visa
    Agriculture Visa
    Approved Nomination
    Australia
    Australian
    Australian Citizenship
    Australian Immigration
    Bar
    Bricklayer
    Bridging Visa
    Bridging Visa A
    Bridging Visa E
    BVA
    BVE
    Changes To Immigration Law
    Changing Courses
    Chef
    Child Visa
    Consolidated Sponsored Occupations List
    COVID 19
    COVID-19
    CSOL
    Decision Ready
    Decision-ready
    Decision Ready Application
    Decision-ready Application
    De Facto Relationship
    Employer Sponsored
    English Exemption
    ENS
    Exercise Physiologist
    Family
    Family Violence
    Federal Circuit Court
    Graduate Work
    GTE
    Hydrogeologist
    Ielts
    Immigration
    Immigration Lawyer
    Judicial Review
    Jurisdictional Error
    Migration Agent
    Migration Review Tribunal
    MRT
    Nomination
    Orphan Relative Visa
    Overstay
    Parent
    Partner Visa
    PIC 4020
    Post Study Work
    Processing Period
    Protection Visa
    Public Interest Criteria
    Public Interest Criterion
    Regional Australia
    Regional Visas
    Registered Migration Agent
    Rma
    RSMS
    Section 48
    Section 48 Bar
    Self Sponsorship
    Skilled Migration
    Skilled Occupations List
    Skilled Work Regional
    Skills Assessment
    SOL
    Sponsor
    Sponsorship
    Student Visa
    Substantive Visa
    Training
    Travel Exemption
    Tsmit
    Unlawful
    Visa Cancellation
    Visa Refusal
    Wall And Floor Tiler
    Working And Holiday Visa

    RSS Feed

Powered by Create your own unique website with customizable templates.