ต้องขอบคุณอิมมิเกรชั่นที่ถึงแม้จะไม่ได้ประกาศอะไรออกมา แต่เราก็ทราบได้จากการกระทำว่าหน่วยงานใน
อิมมิเกรชั่นเองก็พยายามช่วยหลายๆคนให้ได้พีอาร์โดยเร็ว
พอได้พีอาร์แล้ว หลายๆคนก็อาจจะได้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินที่รัฐบาลเสนอช่วยอยู่ ณ ตอนนี้ เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19
น้องๆที่ยื่นเอกสาร Stage 2 Partner visa ไปแล้ว อาจจะสงสัยว่าเราจะได้วีซ่าเร็วๆกับเค้าบ้างไหม ไม่มีใครตอบได้ แต่อย่างนึงที่น้องๆทำได้คือ
- เช็คเอกสารของตัวเองว่ายื่นเอกสารครบตามที่อิมมิเกรชั่นต้องการหรือไม่ (Decision Ready Application)
- ยื่นเอกสารครบไม่พอนะคะ เอกสารที่ยื่นต้องมีคุณภาพด้วย
- มีประเด็นอะไรที่อาจจะเป็นปัญหาหรือไม่ ถ้ามี เป็นประเด็นง่ายๆที่เราสามารถนำเสนอได้เลย เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณา หรือเป็นประเด็นที่เราไม่ควรจะไปเปิดประเด็น (งงใช่ไหมล่า .... มันอธิบายยากนะตรงนี้ มันคือ Strategy การทำงานของแต่ละเคส) ถ้าแนวโน้มเป็นประเด็นปัญหาใหญ่ ก็คงไม่ต้องหวังการพิจารณาที่รวดเร็วนะคะ เอาแค่หวังผ่านดีกว่า เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
ในเคส Stage 2 ของคนเขียน ก็มีประเด็นแตกต่างกันไป ยกตัวอย่าง 2 เคส
เคสนี้ประเด็นง่าย แต่ลูกความคิดมากเกินไป overthinking ไม่อยากให้ใส่รายละเอียดบางอย่าง เพราะกลัวว่าเคสจะเกิดปัญหา แต่ถ้าไม่ให้รายละเอียดก็ดูเหมือนความสัมพันธ์จะไม่แน่น คนเขียนพิจารณาแล้วไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาตรงไหน อยู่ที่การนำเสนอมากกว่า สรุปลูกความยอมทำตามคำแนะนำ เคสผ่านไปแล้วอย่างรวดเร็ว นอกจากจะได้พีอาร์เร็วแล้ว ยังได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลด้วย
อีกเคสนึง ลูกความทำ Stage 1 กับเอเจนต์อื่น แต่ไม่แฮ๊ปปี้ มาให้คนเขียนดูแล Stage 2 ให้ (ค่ะ เปลี่ยนเอเจนต์ระหว่างทางก็ทำได้ ถ้าไม่แฮ๊ปปี้ อย่าทน) แน่นอนเคสแบบนี้ต้องเช็คประวัติและเอกสารกันค่อนข้างเยอะ โดยสรุปคือ
- ลูกความถึงกำหนดยื่น Stage 2 ตั้งแต่ 15 เดือนก่อนที่จะมาเจอคนเขียน (คือเลทไป 15 เดือนแล้ว ยังไม่ได้ยื่นเอกสารเลย) คือเอเจนต์ไม่ได้แจ้งให้ทราบ ไม่ได้แนะนำอะไรเลย
- ถามไปถามมาน้องมีลูกด้วย ลูกแต่ละคน ก็มีปัญหาเฉพาะของตัวเอง และมีทั้งอยู่ไทย และที่ออสเตรเลีย แถมคนที่อยู่ที่ออสเตรเลียวีซาก็กำลังจะหมด
- สปอนเซอร์ก็มีประวัติคดีอาญาชนิดที่ถ้าพ่วงลูกด้วย เคสอาจจะมีปัญหา
- การเงินก็ต้องเอามาพิจารณา เนื่องจากมีลูกหลายคน พ่วงลูกด้วยค่าใช้จ่ายโดยรวมถูกกว่าการได้พีอาร์คนเดียวแล้วค่อยมาทำวีซ่าให้ลูกๆภายหลัง
- จะยื่น Stage 2 คนเดียว หรือจะพ่วงลูกด้วยดี ตอนนี้ก็เลทมาตั้ง 15 เดือนแล้ว จะพ่วงลูกมีหลายสเต็ปที่ต้องทำ ยิ่งเลทไปกันใหญ่ บวกประวัติคดีอาญาของสปอนเซอร์เข้าไปให้กังวลอีก
อ่านข้างบน อาจจะคิดว่าคนเขียนคงแนะนำให้ยื่นคนเดียวให้รอดก่อนค่อยหาทางเอาลูกมา แต่ไม่ค่ะ หลังจากนั่งคิดนอนคิดตีลังกาคิด บวกกับการทำ Research และวางแผนงาน (Strategy) คนเขียนแนะนำให้ทำเรื่องพ่วงลูกเลย ไหนๆก็เลทมา 15 เดือนแล้ว ก็เลทกันต่อไป (Why not?) แต่เลทแบบอยู่ในความดูแลของคนเขียน แผนต้องมา งานต้องเดิน ไม่ใช่เลทแบบตามมีตามเกิดไม่ทำอะไรเลย ถ้านับจากวันที่ Stage 2 Partner visa พร้อมพิจารณา เคสนี้ใช้เวลา 5 เดือน ซึ่งถือว่าเร็วมากสำหรับเคสแบบนี้ (ก่อนหน้านี้เราก็ลุยกับเคสของลูกๆและประวัติของสปอนเซอร์ไป เหนื่อยแต่จบ ได้พีอาร์พร้อมกันทุกคน แถมประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกเยอะ)
ป.ล.1 ไม่ใช่ทุกเคสที่ควรจะพ่วงลูกนะคะ บางเคสก็ต้องยอมยืดเยื้อ และเสียค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า เอาตัวเองให้รอดก่อน เรื่องลูกค่อยว่ากันภายหลัง
ป.ล. 2 ช่วงนี้มีน้องๆถามกันมาเยอะนะคะว่าเคยถูกปฏิเสธวีซ่า หรือเคยถูกยกเลิกวีซ่า ติด Section 48 บาร์ หรือตอนนี้ไม่ถือวีซ่า จะยื่น Partner visa ในประเทศออสเตรเลียได้ไหม ...... คำตอบคือยื่นได้ค่ะ คนเขียนทำเคสประมาณนี้มาแล้วหลายเคส เช่นเคสนี้ หรือโพสนี้ ....แต่... เคสที่ติด Section 48 บาร์ ไม่ใช่ทุกเคสนะคะที่เหมาะสมกับการยื่นแบบในประเทศออสเตรเลีย
Blog writer: Kanokwan Subhodyana
Immigration Lawyer
www.immigrationsuccessaustralia.com